กรมประมง'โชว์ศักยภาพการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในการประชุม COFI ครั้งที่ 136 ณ กรุงปารีสยืนยันความพร้อมของประเทศไทยสู่การเป็นสมาชิก OECD ในเวทีโลก
อธิบดีกรมประมง..เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทย ร่วมโชว์ศักยภาพด้านการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทย ในเวทีการประชุมคณะกรรมการด้านประมง ครั้งที่ 136 (The 136th Session of the Fisheries Committee : COFI) ระหว่างวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2568 ณ สำนักงานใหญ่องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยมีผู้แทนระดับสูงจาก 38 ประเทศสมาชิก และประเทศที่อยู่ระหว่างกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก หารือถึงแนวทางความร่วมมือการจัดการทรัพยากรประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนในระดับสากล ทั้งนี้ ได้มีผู้แทนของกองนโยบายและแผนพัฒนาการประมง กองกฎหมาย กรมประมง ร่วมการประชุมผ่านระบบออนไลน์ด้วย
นางฐิติพร หลาวประเสริฐ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการด้านประมง หรือ COFI เป็นเวทีการประชุมระดับโลกที่จัดขึ้นภายใต้กรอบความร่วมมือขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) เพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิก องค์กรระหว่างประเทศ และผู้สังเกตการณ์ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และหารือถึงแนวทางความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในระดับสากลให้เกิดความยั่งยืน พร้อมกำหนดทิศทางการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคตร่วมกัน โดยการประชุม COFI ครั้งที่ 136 นี้ ได้มีการหยิบยกประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ภายใต้ข้อเสนอที่ OECD ให้ความสำคัญและต้องการผลักดันให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม ใน 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย 1. ความโปร่งใสของเจ้าของผลประโยชน์ที่แท้จริงในอุตสาหกรรมประมง (Beneficial ownership transparency in fisheries) เพื่อป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) 2. การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในภาคประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Adapting to climate change and moving to net zero in fisheries and aquaculture) และ 3. การประเมินการสนับสนุนเพื่อการเพาะเลี้ยงที่ยั่งยืน (Aquaculture Support Estimate : ASE) เพื่อพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นมาตรฐานประกอบการกำหนดนโยบายความมั่นคงทางอาหารในอนาคต
กรมประมง จึงได้ใช้โอกาสนี้นำเสนอถึงท่าทีเชิงยุทธศาสตร์ด้านการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยในมิติต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับแนวทางของคณะกรรมการด้านการประมง ดังนี้
1. การเสริมสร้างความสามารถของภาคการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำให้ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero carbon) โดยไทยเป็นประเทศนำร่องในการดำเนินโครงการด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น องค์การข่ายงานศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแห่งเอเชียและแปซิฟิก (NACA) และ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ภายใต้แนวคิดการพลิกโฉมอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ หรือ Aquaculture Transformation ด้วยการส่งเสริมแนวทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาร์บอนต่ำ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการประยุกต์ใช้แนวทางธรรมชาติในระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Nature-based Solutions : NbS)
2. การใช้ผลผลิตสูงสุดที่ยั่งยืน (Maximum Sustainable Yield : MSY) เป็นจุดอ้างอิงในการบริหารจัดการทรัพยากรประมง รวมถึงริเริ่มการประเมินสถานภาพของระบบนิเวศ เพื่อใช้เป็นตัวชี้วัดและกำหนดกลยุทธ์การจัดการประมง (harvest strategy) ตามแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรประมงโดยแนวทางเชิงระบบนิเวศเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างยั่งยืน
3. การดำเนินโครงการ “ขยะคืนฝั่ง ทะเลสวยด้วยมือเรา” เพื่อส่งเสริมการจัดการขยะทะเลอย่างยั่งยืน โดยเน้นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคประมง และชุมชนชายฝั่ง ร่วมเก็บขยะจากเรือประมงและชายฝั่งทะเล แปรรูปขยะพลาสติกเป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ให้ชุมชน ซึ่งส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลอย่างยั่งยืน
4. การที่ประเทศไทยได้รับความเห็นชอบให้เป็น Country hosting for ASEAN Network for Combating IUU Fishing (AN-IUU) Interactive Platform และเป็นที่ตั้งของศูนย์เครือข่ายการต่อต้านการประมงผิดกฎหมาย (AN-IUU Centre) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการประมงผิดกฎหมายระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ส่งผลให้การป้องกันและปราบปราม IUU มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ไทยยังมีบทบาทในการพัฒนาขีดความสามารถให้กับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยการเป็นเจ้าภาพจัดฝึกอบรมด้าน Monitoring, Control and Surveillance (MCS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายและบริหารจัดการทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืนให้กับประเทศสมาชิกอาเซียนอีกด้วย
อธิบดีกรมประมง กล่าวในตอนท้ายว่า การเข้าร่วมประชุม COFI ครั้งที่ 136 ถือเป็นโอกาสสำคัญของกรมประมงที่ได้แสดงศักยภาพและความมุ่งมั่นในการพัฒนาภาคการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไปสู่ความยั่งยืน พร้อมตอกย้ำความพร้อมของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD เพื่อร่วมขับเคลื่อนระบบการบริหารจัดการทรัพยากรประมงระดับสากลให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น และร่วมสร้างอนาคตความมั่นคงทางอาหารของโลกอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป







