อย่าเชื่อ Fake News! “มะเร็งเต้านม” ที่หลายคนมีความเชื่อผิด ๆ ใส่บราแน่น, เจ็บเต้านม, กินยาคุม, ดื่มน้ำเต้าหู้ น้ำมะพร้าว เสี่ยงมะเร็งเต้านมจริงไหม? ก้อนไหนเสี่ยง ก้อนไหนปลอดภัย เปิดเรื่องจริงเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมที่ผู้หญิงต้องรู้ ในรายการ On the way with Chom พร้อมคู่มือป้องกันมะเร็งเต้านมฉบับเข้าใจง่าย กับ “รศ.นพ. วิชัย วาสนสิริ” หัวหน้าศูนย์เต้านม โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ตอนนี้สถิติผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมมีน้อยลง ?
หมอวิชัย : ต่างประเทศอาจจะลดลงเล็กน้อย โดยถ้าเทียบสถิติโดยเฉลี่ยของทางแถบยุโรปกับอเมริกา เป็นคนผิวขาว จะประมาณ 150-200 ต่อผู้หญิง 100,000 คน คราวนี้ที่บ้านเราในอดีตมะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยลำดับที่ 2 รองจากมะเร็งปากมดลูก เมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกมีการรณรงค์แล้วก็มีการตรวจคัดกรองที่ดีทำให้สถิติลดลง แล้วก็กลับพบว่ามะเร็งเต้านมพบมากขึ้นเรื่อย ๆ 10 กว่าปีที่แล้ว ประมาณ 25-30 ต่อผู้หญิง 100,000 คน ปัจจุบัน ประมาณสัก 35-40 คนต่อผู้หญิง 100,000 คน เลยคิดว่าของประเทศไทยสูงขึ้น
ปัจจัยอะไรทำไมของ Caucasian ลดลงแล้วของเราถึงเพิ่มขึ้น ?
หมอวิชัย : จริงๆ ไม่รู้สาเหตุว่ามะเร็งเต้านมเกิดจากอะไร แต่จากที่เราเคยดูๆ กัน พบว่าคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่ค่อนข้างจะ High ขึ้นมาหน่อย ก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มมากขึ้น เชื่อว่าค่อนข้างจะเกี่ยวข้องกับเรื่องอาหาร พฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งพบว่าในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ผู้หญิงไทยใช้ชีวิตแบบตะวันตกเพิ่มมากขึ้น เลยคิดว่าอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อุบัติการณ์เพิ่มสูงขึ้น
ตอนนี้การตรวจคัดกรองจะมี Mammogram และ Ultrasound เวลาตรวจต้องตรวจทั้ง 2 อย่างเลยใช่ไหม ?
หมอวิชัย : ใช่ครับ ต่างประเทศส่วนใหญ่ใช้แค่ตัว Mammogram ตัวเดียว เพราะว่าตัวMammogram สามารถเห็นหินปูนที่ผิดปกติ ซึ่งหินปูนที่เห็นจากตัว Mammogram จะมาจัดลำดับความสงสัยว่าเหมือนมะเร็งหรือไม่ และจำเป็นจะต้องกลับมาตรวจเพิ่มเติมอย่างอื่นหรือไม่ แต่ว่าที่ทางฝั่งแถบเอเชีย ไทย เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน เนื่องจากลักษณะเนื้อของเต้านมจะเแน่นกว่าทางฝั่ง Caucasian ทำให้โอกาสตรวจพบจาก Mammogram ยากกว่าและการใช้ Ultrasound เข้ามาช่วยทำให้มีโอกาสพบสิ่งผิดปกติเพิ่มมากขึ้น ในบ้านเราส่วนใหญ่มักจะตรวจ ร่วมกับ Ultrasound ไปด้วยกัน จะพบว่ารอยโรคบางอย่าง เราเห็นจาก Ultrasound แต่ Mammogram ไม่เห็น รอยโรคบางอย่าง Mammogram เห็น Ultrasound ก็ไม่เห็น หลักการของการตรวจด้วย Mammogram คือสารที่ทึบแสง X-ray จะสามารถเห็นได้จาก Mammogram ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหินปูนเล็ก ๆ หรือเป็นก้อนเนื้องอกก็มี ซึ่งเนื้อของมะเร็งจะมีความหนาแน่นมากกว่าเนื้อนมปกติ เพราะฉะนั้นบางทีเรา Mammogram ขึ้นมาก็จะเห็นเป็นก้อนได้ จะดูลักษณะของขอบก้อนว่าน่าสงสัยหรือไม่ กลับกันในทางของ Ultrasound ใช้ระบบคลื่นเสียง มันจะตรวจความหนาแน่นของเนื้อ ซึ่งเนื้อมะเร็งความหนาแน่นจะไม่เท่ากับเนื้อปกติ หรือแม้แต่ถุงน้ำหรือซีสต์ Mammogram บางทีไม่เห็น แต่ Ultrasound เห็น เพราะว่าความหนาแน่นของน้ำกับเนื้อนมจะไม่เท่ากัน รอยโรคบางอย่างจะเห็นจาก Ultrasound รอยโรคบางอย่างก็เห็นจาก Mammogram เพราะฉะนั้นการใช้ 2 วิธีนี้ ทำให้ช่วยเสริมกันความแม่นยำในการตรวจคัดกรองเพิ่มสูงขึ้น
คนจะกลัว Mammogram เยอะ เพราะว่าเหมือนบีบอัดด้วย แล้วนอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องรังสีที่หลาย ๆ คนกังวลด้วย ตรงนี้มันส่งผลกับร่างกายไหม ?
หมอวิชัย : ก่อนหน้านี้มีช่วงหนึ่งทางโซเชียลค่อนข้างเยอะว่าการตรวจ Mammogram ไปกระตุ้นให้เป็น แต่ข้อเท็จจริงคือถ้าเป็น physical หมายถึงว่าการถูกบีบ เนื้อนมถูกบีบ ไม่ได้กระตุ้นให้เป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะว่าไม่มีรายงานเรื่องนี้ออกมาเลย เพราะฉะนั้นอันนี้เป็น Fake news ว่าการบีบ Mammogram นั้นทำให้เป็นคงไม่ใช่ ส่วนที่ 2 คือปริมาณรังสีที่โดนจากตัว Mammogram จริง ๆ แล้วมีหน่วยวัดว่า Mammogram ครั้งหนึ่งโดนรังสีประมาณเท่าไหร่ ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย มีเทียบ 2 แบบอย่างเช่นการทำ X-ray ปอดครั้งหนี่งเราก็ได้รังสี ทำ X-ray ปอดประมาณ 3-5 ครั้ง ก็จะเท่ากับ Mammogram 1 ครั้ง หรือถ้าเทียบให้เห็นชัดขึ้นคือในชีวิตประจำวัน เราจะได้รับรังสีจากแสงอาทิตย์อยู่แล้ว พระอาทิตย์ที่มาที่โลกเราจะมีรังสีที่โดนอยู่แล้ว จะมีบางส่วนที่แสงจากแสงอาทิตย์เป็นรังสีชนิดเดียวกับที่ได้รับจากตัว Mammogram ถ้าเรายิ่งอยู่ที่สูงรังสีก็จะโดนมากขึ้น เคยมีการเปรียบเทียบว่าการนั่งเครื่องบินไปกลับระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่จะใกล้เคียงกับการทำ Mammogram 1 ครั้งในแง่ของปริมาณรังสีที่ได้รับ เพราะงั้นก็ต้องการจะชี้แจงว่าไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะว่าปริมาณรังสีเนี่ยค่อนข้างน้อยแล้วเราก็ทำแค่ปีละครั้งยกเว้นบางอย่างที่เราต้องการจะตรวจเพิ่มเติมเท่านั้นเอง
ทำแล้วกลัวเจ็บอย่างคุณหมอจะแนะนำยังไงดี ?
หมอวิชัย : จริง ๆ หลักการเขาคือต้องการให้เห็นชัดที่สุดจากการทำ Mammogram การยิ่งบีบยิ่งแบนยิ่งเห็นชัดนะ แต่ว่ามันก็มีหลักอีกอย่างหนึ่งเหมือนกันว่าต้องไม่ทำให้คนไข้กลัวหรือว่าเจ็บมากเกินไป เพราะฉะนั้นก็ต้องบาลานซ์กัน ถ้าเผื่อว่าเรารู้สึกว่าถูกบีบแล้วเจ็บก็บอกให้ทางเจ้าหน้าที่เขาพอแค่นั้น จริง ๆ แล้วการทำเจ็บไม่เจ็บขึ้นกับเทคนิคด้วยส่วนหนึ่ง เราเรียกว่าเจ้าหน้าที่รังสีเทคนิคที่ชำนาญการ เขาก็จะสามารถทำให้อาการเจ็บน้อยลง ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเจ้าหน้าที่มือใหม่ ๆ เนื่องจากว่าเขาถูกสอนว่าต้องโกยเนื้อนมให้มาอยู่ในที่ๆจะให้รังสีฉายไป เขาจะดึงจะรั้งเข้ามาแล้วพอบีบยิ่งแบนก็จะทำให้ยิ่งเจ็บ เพราะงั้นตัวคนไข้ถ้าเริ่มเจ็บก็ต้องบอกเขาว่ารู้สึกเจ็บแล้วให้พอแค่ประมาณนั้น แต่ผมว่าคุ้มค่าที่จะตรวจถ้าถึงเกณฑ์
คนที่ทำหน้าอกมาเป็นอุปสรรคในการตรวจ Mammogram ไหม ?
หมอวิชัย : เจ้าหน้าที่ที่ทำ Mammogram เขาก็กลัวอยู่แล้วว่าจะไปบีบของคนไข้แตก เพราะงั้นเวลาเราทำพวกนี้โอกาสแตกน้อยมาก น้อยจนกระทั่งเราไม่ได้ concern สักเท่าไหร่ ในการทำ Mammogram สำหรับคนที่เสริมหน้าอกมา การทำ Mammogram เวลาบีบสำหรับคนที่เสริมหน้าอกจะทำท่าปกติที่รวมทั้งตัวถุงซิลิโคนที่ใส่เข้าไปด้วย ส่วนที่ 2 จะบีบเอาเฉพาะเนื้อนมเอาถุงซิลิโคนหลบออกไป ทำให้เห็นแต่เนื้อนมชัดมากขึ้น การทำ 2 ท่านี้จะทำให้เห็นรอยโรคที่มันอาจจะบดบังอยู่ได้ชัดขึ้น
เห็นว่ามีการตรวจอีกแบบหนึ่งคือตรวจ DNA ว่าเรามีความเสี่ยงมะเร็งเต้านมหรือเปล่าอันนี้จำเป็นไหม ?
หมอวิชัย : เนื่องจากว่าการตรวจ DNA ในสมัยอดีต ค่าตรวจค่อนข้างแพงตรวจครั้งหนึ่งจะประมาณแสนกว่าบาท โดยเมื่อก่อนประมาณ 150,000 ขึ้น แล้วก็ใช้เวลาหลายเดือน ในปัจจุบันเนื่องจากมีวิวัฒนาการเพิ่มมากขึ้น การตรวจยีนของคนไข้หรือของเซลล์มะเร็ง ค่าใช้จ่ายถูกลงเยอะ พอราคาถูกลงจับต้องได้ ถึงแม้จะถูกแต่มันก็เป็นหลักหมื่นก็ต้องดูความคุ้มค่า เพราะฉะนั้นเราจะมีข้อเรียกว่าเป็น criteria (ไครทีเรียน) หรือ Indication (อินดิเคชัน) ว่าเมื่อไหร่สมควรจะตรวจยีนไม่ใช่ว่าเราอยากจะเดินเข้าไปแล้วขอตรวจ เขาจะตรวจให้ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น การที่เราดูเรื่องของพวกนี้เพราะว่าอุบัติการของการพบยีนผิดปกติมันไม่ได้สูงมากของมะเร็งเต้านมเองที่มีสาเหตุจากยีนผิดปกติ มีประมาณ 5% คือ 95% ของคนไข้ที่เป็นมะเร็งเต้านมไม่ได้มาจากเรื่องยีนผิดปกติ
เป็นไลฟ์สไตล์ ?
หมอวิชัย : ใช่ คิดว่ามีส่วนสำคัญ พอตัว 5% นี้ ก็ต้องมาดูว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้โอกาสตรวจแล้วเจอยีนผิดปกติเพิ่มสูงขึ้นง่าย ๆ เลยก็จะดูจากประวัติครอบครัว ถ้ามีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านมหลาย ๆ คน 2-3 คนขึ้นไป ก็เป็นข้อบ่งชี้อันที่ 1 อันที่ 2 คือในสมัยใหม่มีมะเร็งเต้านมบางชนิดซึ่งมีโอกาสที่จะพบยีนผิดปกติสูงขึ้น เป็นจำพวกหนึ่งเรียกว่าพวก Triple negative ในกลุ่มคนไข้พวกนี้ถ้าอายุน้อย ๆ มีโอกาสจะตรวจพบยีนเพิ่มมากขึ้นแต่ก็ไม่ใช่จำนวนสูง ก็เลยเป็นข้อบ่งชี้ที่มีการกำหนดไว้ว่าในกลุ่มคนไข้พวกนี้เราอาจจะแนะนำให้ตรวจยีน
แปลว่าไลฟ์สไตล์ก็ต้องมีส่วนแน่นอนอยู่แล้วในการที่ไปกระตุ้น ?
หมอวิชัย : เชื่อว่าอันนั้นอาจจะมีส่วน เนื่องจากยีนจะมี 2 ขาในโครโมโซม ถ้ามียีนตัวหนึ่งผิดปกติยีนอีกขาหนึ่ง ถ้ามีอะไรไปกระทบกับมันทำให้การสร้างโปรตีนที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์แต่ละชนิดผิดปกติไปอีกครั้งหนึ่งก็มีโอกาสสูงที่จะทำให้เป็นมะเร็งสูงขึ้น เพราะฉะนั้นเจอยีนที่ผิดปกติแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเองที่เป็นไม่ได้ว่าเป็นทุกคน
มี AI หรือว่ามีเทคโนโลยีอะไรใหม่ ๆ ที่จะทำให้เราช่วยตรวจหาได้รวดเร็วหรือแม่นยำขึ้นสำหรับมะเร็งเต้านม ?
หมอวิชัย : ปัจจุบันยังไม่มี แต่ว่ามีการนำ AI มาใช้เรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมก็คือเอา AI มาอ่านฟิล์ม Mammogram กับ Ultrasound ก็กำลังพัฒนากันอยู่ แทนที่จะต้องใช้หมอรังสีวินิจฉัยอ่านฟิล์มทุกฟิล์มที่ทำ ก็มีการใช้ AI เข้ามาประยุกต์แล้ว พบว่าหลาย ๆ แห่งได้ผลค่อนข้างเชื่อถือได้ แต่ว่ารอข้อมูลอีกสักนิดหนึ่งผมว่าคงไม่นาน การทำ Mammogram อาจจะใช้ AI อ่านทั้งหมด
ขั้นตอนการวินิจฉัยมะเร็งเต้านม เป็นยังไงบ้างแต่ละขั้นตอน ?
หมอวิชัย : ปกติเราจะมีอยู่ 3 ส่วนหลัก ๆ เรียกว่าเป็น Triple Assessment ในการที่จะวินิจฉัยคนไข้ในแง่ของโรคเต้านมไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหรือไม่เป็นก็ตามเนี่ย 1 เราจะซักประวัติตรวจร่างกาย ประวัติที่ส่วนใหญ่จะถามก็คือเรื่องความเสี่ยงของการที่จะมีมะเร็งเต้านมเนี่ยสูงมากน้อยแค่ไหนส่วนที่ 2 ก็คือการตรวจร่างกาย
การคลำเจอเอง ?
หมอวิชัย : บุคลากรทางสาธารสุขโดยเฉพาะแพทย์ที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ประมาณ 5-10% ที่ว่ามีโอกาสจะเจอรอยโรค ซึ่ง Mammogram , Ultrasound ไม่เห็น แต่ว่าเราคลำเจอ เพราะงั้นเลยเป็นส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างจะสำคัญ ว่าจำเป็นที่จะต้องให้แพทย์ตรวจร่างกาย ส่วนที่ 2 เรียกว่าการใช้ imaging คือใช้ Mammogram หรือ Ultrasound ในการตรวจ จริง ๆ แล้วนอกจาก Mammogram , Ultrasound ยังมีรังสีวินิจฉัยวิธีอื่น ๆ อย่างเช่นการใช้ MRI การใช้หลากหลาย แต่ว่าความคุ้มค่าที่สุดใช้ในปัจจุบันก็คือ Mammogram กับ Ultrasound ส่วนใหญ่ถ้าคนไข้มีอาการมาหาแพทย์ทางด้านนี้ คนที่อายุเกิน 35 ปี ขึ้นไป เรามักจะให้ทำทั้ง Mammogram และ Ultrasound
อาการเป็นยังไง ?
หมอวิชัย : อย่างเช่นมีอาการคลำได้ก้อน เจ็บเต้านม มีน้ำไหลออกมาจากหัวนมหรือว่ามีหัวนมผิดปกติอะไรพวกนี้ เป็นอาการที่คนไข้คอมเพลนมาหา ในส่วนของ Ultrasound ถ้าอายุน้อยกว่า 35 ปี มักจะให้ทำ Ultrasound ตัว Mammogram จะเก็บไว้สำหรับในบางกรณีที่เราคิดว่าเราสงสัย อายุต่ำกว่า 35 ก็ทำ Mammogram ได้ แต่เนื่องจากว่าผู้หญิงไทยอายุน้อยกว่า 35 เนื้อนมจะค่อนข้างแน่น Mammogram ทำออกมาแล้วมักจะไม่ค่อยเห็นอะไรผิดปกติเท่าไหร่ ถึงแม้มีความผิดปกติแต่ว่ามองไม่เห็นจากตัว Mammogram
ไม่ได้เกี่ยวกับหน้าอกเล็กหน้าอกใหญ่ ?
หมอวิชัย : ไม่เกี่ยวเลย ขึ้นกับคุณภาพของเนื้อนม มันก็เลยทำให้เห็นต่างกันอันนั้นก็เป็นส่วน ส่วนสุดท้ายในการวินิจฉัยคือการเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ ซึ่งการเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ เราจะใช้การเจาะหรือผ่าเอาออกไปตรวจ ซึ่ง 3 วิธีนี้คนไข้แต่ละคนไม่จำเป็นต้องได้ทั้ง 3 อย่าง ถ้าเผื่อว่าดูแล้วตรวจแล้วไม่มีอะไรอาจจะไม่ได้ไปเจาะเนื้อหรือว่าทำ Mammogram Ultrasound แล้วไม่เจออะไรก็ไม่ต้องไปเจาะเนื้อ แล้วแต่ดุลพินิจของแพทย์แต่ละครั้ง
บางคนคลำแล้วเจอเป็นก้อน แต่คลำแล้วไม่เจ็บแล้วคิดว่าไม่เป็นอะไร จริงๆแล้วคือ ?
หมอวิชัย : จริง ๆ แล้วมะเร็งมักจะไม่เจ็บนะ เอา 2 ส่วนนะ เอาคนไข้ที่เจ็บก่อน คนไข้ที่เจ็บมาหาเราประมาณ 95% ไม่ได้เป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งแล้วเจ็บมีเหมือนกันแต่ว่าต้องเป็นก้อนค่อนข้างใหญ่ ประสาทรับความรู้สึกเจ็บส่วนใหญ่แล้วอยู่ที่ผิวหนังหรือข้างใต้ตรงกล้ามเนื้อหน้าอก เพราะงั้นถ้าเผื่อว่ามะเร็งกินมาถึงผิวหนังหรือว่าลงลึกไปถึงตรงกล้ามเนื้อหน้าอกจะทำให้มีอาการเจ็บได้ คราวนี้มันจะมีเนื้อบางชนิดที่ทำให้เจ็บอย่างเช่น ถุงน้ำหรือก้อนเนื้อ ซึ่งมีอาการเต่งตึงพวกนี้ประสาทรับความรู้สึกแถวนั้นก็จะมีเจ็บ แต่อย่างไรก็ตาม ตามสถิติแล้ว 95% ของคนไข้ที่เจ็บไม่ได้เป็นมะเร็ง หลายคนก็มักจะคิดว่าก้อนไม่เจ็บไม่เห็นเป็นไร มะเร็งส่วนใหญ่ในระยะแรก ๆ ก้อนเล็กเล็ก ๆ จะไม่มีอาการเลยเจ็บก็จะไม่เจ็บด้วยซ้ำไป เพราะว่าไม่ได้กินมาถึงส่วนที่ทำให้มีตัวรับความรู้สึกเจ็บ
คนที่เคยเจอเจอซีสต์หรือว่าเป็นก้อนเนื้ออะไรที่เต้านมผ่าออกไปแล้ว เจอแล้วเจออีก อย่างนี้เขาจะมีโอกาสเป็นมะเร็งได้ไหม ?
หมอวิชัย : มันจะมีเนื้อบางอย่างที่ไม่ใช่มะเร็งแต่ว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้มีมะเร็งเพิ่มขึ้น มันเป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ อย่างเช่นเราเจาะไปแล้วเจอเนื้อที่เขาเรียกว่าเป็น Atypical Ductal Hyperplasia คือเซลล์ของเนื้อนมซึ่งเริ่มมีการเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้ว ดูแล้วเซลล์ไม่ค่อยดี ถ้าเจอประเภทนี้โอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมในอนาคตจะสูงกว่าคนทั่วไปประมาณ 4-6 เท่า แล้วก็จะมีเนื้ออีกหลายชนิดที่ทำให้เราสงสัย
จะแยกเบื้องต้นได้ยังไงว่าอันไหนมะเร็ง อันไหนก้อนเนื้อ อันไหนซีสต์ อันไหนถุงน้ำ
หมอวิชัย : เรื่องก้อนหรือลักษณะต่าง ๆ มันแบ่งได้หลายแบบ ที่ทำความเข้าใจง่ายสุดก่อนคำว่าซีสต์ สำหรับคนไทยใครเจอก้อนอะไรมักจะเรียกซีสต์หมด แต่จริง ๆ แล้วทางการแพทย์ซีสต์หมายถึงถุงน้ำต้องเป็นก้อนแล้วข้างในเป็นน้ำ ถึงจะเรียกว่าซีสต์ แต่ว่าคนทั่วไปก้อนอะไรก็เรียกซีสไปหมด
อย่างนี้ถุงน้ำกับซีสต์เหมือนกันไหม ?
หมอวิชัย : ไม่เหมือนกัน ถุงน้ำก็คือมันมีผนังเหมือนลูกโป่งลูกโป่งใส่น้ำ อันนี้เรียกว่าซีสต์แต่ถ้าเกิดว่ามีก้อนและข้างในเป็นเนื้องอกไม่ได้เป็นน้ำ อันนั้นคือก้อนเนื้องอกแล้วภาษาอังกฤษจะไม่เรียกว่าซีสต์ ซีสต์ภาษาอังกฤษตรงไปตรงมาหมายถึงถุงน้ำ เป็นก้อนที่มีน้ำอยู่ข้างใน ซีสต์ส่วนใหญ่แล้วของเต้านมเราพบว่าเป็น Simple Cyst คือข้างในไม่ได้มีเนื้ออย่างอื่นอยู่ ซึ่งส่วนของ Simple Cyst ไม่กลายไปเป็นมะเร็งแน่นอน แล้วซีสต์มักจะทำให้เจ็บได้ในบางคน ถ้าใหญ่พอประมาณ พอแต่ละรอบเดือนEstrogen ทำให้มีน้ำคั่งที่เต้านมรวมทั้งในซิสต์นี้ด้วย ถ้าคนไข้ที่มีซิสต์อยู่หลาย ๆ เม็ด พอก่อนมีประจำเดือนจะตึง จะเต่ง จะทำให้เจ็บ ก็คือเจ็บจากซิสต์ ในอดีตซิสต์พวกนี้หลายคนเอาไปผ่า แล้วรวมทั้งก้อนเนื้องอกอย่างอื่นที่ไม่ใช่มะเร็ง ในปัจจุบันมีเนื้องอกและซีสต์หลายชนิด เราไม่ได้ผ่าแล้ว
ปล่อยไว้เหรอ ?
หมอวิชัย : คือไม่ได้มีความจำเป็น ขึ้นอยู่กับชนิดของเนื้อนั้น ๆ ถ้าก้อนที่เกินกว่า 2 ซม. เรามักจะแนะนำให้ผ่า ถ้าก้อนเล็กกว่า 2 ซม. มันจะมีที่พบบ่อย ๆ เช่น Fibroadenoma เป็นเนื้องอกอย่างหนึ่งของเต้านม ซึ่งไม่ใช่มะเร็ง ชนิดนี้มักจะเป็นในคนอายุน้อยประมาณ 25-35 ปี เป็นกันได้หลาย ๆ เม็ด เหมือนกับคลำและก้อนกลิ้งไปกลิ้งมาได้เป็นเนื้องอกไม่ใช่ซิสต์ ก้อนพวกนี้ในอดีตเราแนะนำให้ผ่าน ในปัจจุบันเรารู้พฤติกรรมของมันมากขึ้นว่า 1 มันไม่กลาย อันที่ 2 นี่คนไข้ประมาณ 25-30% จะเล็กลงได้ ไม่จำเป็นต้องผ่าทุกคน คราวนี้เราจะผ่าก้อนพวกนี้คือมันโตขึ้นหรือว่าเกิน 2 ซม. ซึ่งก่อนจะถึงจุดนั้น เรามักจะเจาะไปตรวจแล้วว่าเป็นเนื้อชนิดไหนจะได้วางแผนได้ถูก อยากจะทำความเข้าใจนิดหนึ่งว่าก้อนทุกก้อนในเต้านมไม่จำเป็นต้องผ่า
เพราะฉะนั้นซีสต์โอกาสพัฒนาเป็นมะเร็งค่อนข้างน้อย ?
หมอวิชัย : ไม่มีเลย ถ้ามีจะน้อยมาก
แล้วเนื้องอก ?
หมอวิชัย : เนื้องอกขึ้นอยู่กับชนิด ซึ่งก็ไม่ได้เยอะที่จะมีโอกาสจะเป็นมะเร็ง
มะเร็งปากมดลูกมีวัคซีนแล้วของเต้านมจะมีไหมในอนาคต ?
หมอวิชัย : การที่ประยุกต์เรื่องวัคซีนมาใช้กับมะเร็งเต้านมมีการทำมานานแล้ว ไม่ใช่ไม่มีสมัยมีรุ่นน้องผมไปอยู่ที่อังกฤษ เมื่อสักก่อนปี 2000 ก็สัก 20 กว่าปี ทำเรื่องเกี่ยวกับการรักษามะเร็งเต้านมโดยใช้เรื่องของวัคซีน จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้มีตัวที่ชัดเจน แต่มีความก้าวหน้าเพิ่มมากขึ้นเยอะมากคำว่าวัคซีนส่วนใหญ่คนทั่วไปเข้าใจว่ายังไม่เป็นโรคแล้วฉีด แล้วป้องกันไม่ให้เป็น ถ้าในความหมายนี้ของมะเร็งเต้านมยังไม่มีวัคซีนที่ฉีดแล้วป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งเต้านม ยังไม่มี แต่พบว่ามีการใช้ภูมิต้านทานบำบัดเกี่ยวกับวัคซีนเหมือนกันมาในโรคบางชนิดของมะเร็งเต้านม อย่างเช่นกลุ่มที่เป็นมีตัวรับ Her2 ก็คือเป็นบวก ก็เพราะว่าเรารักษากลุ่มคนไข้เหล่านี้ ถ้ายาผ่าตัดรักษาไปครบเรียบร้อยแล้ว จะมีคนไข้จำนวนหนึ่งที่มีโอกาสกลับมา เริ่มมีการเอาเรื่องของเอาเซลล์มะเร็งอันนี้ไปปั่น ไปบด ให้มันมีโปรตีนเล็ก ๆ แล้วก็ไปกระตุ้นเอาโปรตีนเล็ก ๆ ฉีดเข้าไปในร่างกายเพื่อไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันกับโปรตีนเหล่านี้ ก็เหมือนกับวิธีการของวัคซีนอย่างหนึ่ง มีการศึกษาอยู่แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป
สามารถติดตาม "On the way with Chom" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันจันทร์ (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=Uxktf5lqP6o







