การศึกษา

ผ่าแผนการศึกษา กทม. แก้วิกฤตครู รื้อโครงสร้างโรงเรียนเล็ก ยกระดับชีวิตคนเมือง

แชร์ข่าว

รายงานพิเศษ:

กทม. เร่งผ่าตัดวิกฤตการศึกษาหลังพบครูแนะแนวขาดแคลนหนักกว่า 300 อัตรา ท่ามกลางอุปสรรคการบริหารที่ผู้อำนวยการโรงเรียนโยกย้ายบ่อยจนขาดความต่อเนื่องในการพัฒนา นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯ กทม. จึงเตรียมปรับโครงสร้างใหญ่ ทั้งการจัดสอบครูเฉพาะทาง การขยายวาระดำรงตำแหน่งผู้บริหาร และการเปลี่ยนโรงเรียนขนาดเล็กให้เป็นศูนย์เรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อยกระดับมาตรฐานโรงเรียนสังกัดเมืองหลวงให้เป็นที่พึ่งของประชาชนทั่วไป

นายศานนท์ยอมรับว่า แม้ภาพรวมคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในสังกัด กทม. จะดีขึ้นมาก โดยเฉพาะในระดับปฐมวัยและการขยายห้องเรียนสองภาษา แต่การพัฒนายังคงเผชิญกับความท้าทายเชิงระบบหลายด้าน ทั้งปัญหาขาดแคลนบุคลากรเฉพาะทาง การบริหารจัดการผู้บริหาร และการปรับโครงสร้างโรงเรียนขนาดเล็กให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

โดยปัญหาการขาดแคลนบุคลากรยังเป็นจุดที่น่ากังวล มีสาขาที่ขาดแคลนมาตลอดตั้งแต่ตนเข้ารับตำแหน่ง ได้แก่ ครูการศึกษาพิเศษ ครูปฐมวัย และครูแนะแนว สำหรับครูแนะแนวนั้นเป็นตำแหน่งที่หาผู้เชี่ยวชาญยาก และพบว่ามีการขาดแคลนมากถึง 300 อัตราในโรงเรียน กทม.ทั้งหมด 437 แห่ง แสดงว่ามีโรงเรียนเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่มีครูแนะแนวตามอัตราที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังมีความท้าทายเรื่องการกำหนดบทบาทหน้าที่ของครูแนะแนวให้ชัดเจน เพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่

"ผมรู้สึกว่าครูแนะแนวไม่ได้ทำหน้าที่แนะแนว ต่อให้เราบรรจุ 300 คนในวันนี้ โรงเรียนก็อาจจะใช้พวกเขาไปทำงานอื่น ๆ เช่น ครูประจำวิชาชมรม หรือใช้ไปสอนวิชาโทของครูเขา เพราะฉะนั้น ถ้าบรรจุแล้วต้องตามมาด้วย Job Description ที่ชัดเจน" นายศานนท์กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ ครูแนะแนวมีบทบาทสำคัญไม่ใช่เพียงแนะนำเรื่องการศึกษา แต่รวมถึงการให้คำแนะนำชีวิตและจิตใจแก่เด็ก ซึ่งเป็นงานที่ละเอียดอ่อนและจำเป็นต้องรู้พื้นฐานของเด็กแต่ละคน กทม. จึงกำลังพิจารณาจัดสอบคัดเลือกพิเศษสำหรับครูแนะแนวโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับที่เคยทำสำเร็จมาแล้วกับครูการศึกษาพิเศษ

นอกจากปัญหาบุคลากรแล้ว ความท้าทายเชิงระบบอีกประการคือการบริหารจัดการผู้บริหารโรงเรียน โดยเฉพาะปัญหาการโยกย้ายของผู้อำนวยการโรงเรียน (ผอ.) การย้ายตำแหน่งของ ผอ. ทำให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินนโยบายหรือหลักสูตรที่ริเริ่มไว้ โดยเฉพาะหลักสูตรนวัตกรรมใหม่ ๆ ภายใต้โครงการ Education Sandbox นายศานนท์กล่าวว่าตามหลักการแล้ว ผอ. ที่มีความสามารถสูงมักจะถูกบรรจุในโรงเรียนขนาดเล็กก่อน และหากให้พวกเขาต้องอยู่ในโรงเรียนเล็กนานเกินไปก็จะไม่เป็นธรรมต่อการเติบโตในสายงาน แต่การย้ายที่เร็วเกินไปก็ส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องในการพัฒนาโรงเรียน กทม. จึงต้องพยายามหาจุดสมดุล โดยอาจจะต้องขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งจาก 2 ปี เป็น 3 หรือ 4 ปี ในอนาคต เมื่อระบบการแต่งตั้งกลับมาเป็นธรรมแล้ว

อีกประเด็นสำคัญคือความท้าทายในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ฝั่งธนบุรีที่มีโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในวัดเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้การจัดสรรทรัพยากรและการจัดการศึกษาไม่มีประสิทธิภาพ การมีโรงเรียนขนาดเล็กไม่ได้เป็นประโยชน์เท่าใดนัก เนื่องจากอัตราส่วนครูต่อเด็กอาจสูงเกินไป เช่น 1:5 ในบางโรงเรียน เพราะครูยังคงถูกกำหนดตาม 8 กลุ่มสาระวิชา

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ นโยบายของ กทม. คือการไม่ยุบโรงเรียน แต่จะใช้วิธีปรับโครงสร้างโรงเรียน (Restructure) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร แนวคิดคือการปรับให้โรงเรียนเป็น "Life Long Learning School" ไม่จำกัดการเข้าถึงแค่เด็กวัยเรียน แต่เปิดโอกาสให้คนทุกวัยเข้ามาเรียนรู้และ Up-Skill รวมถึงการรวมศูนย์บางอย่างเข้าด้วยกัน เช่น การรวมโรงเรียนประถมศึกษาใกล้เคียงเข้าด้วยกัน และให้โรงเรียนที่เหลือโฟกัสเป็นโรงเรียนอนุบาลโดยเฉพาะ เพื่อให้การจัดสรรครูตามกลุ่มปฐมวัยมีความเหมาะสมและใช้ทรัพยากรคุ้มค่ามากขึ้น

ในการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาโดยทั่วไป กทม. ยังมุ่งเน้นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ผ่านโครงการ Digital Classroom ที่ได้ขยายไปยังเด็ก ป.4 ในทุกโรงเรียน อย่างไรก็ตาม นายศานนท์เน้นย้ำว่าการใช้เทคโนโลยีต้องมีความพอดี

"ผมคิดว่าครูต้องเรียนรู้การสอนที่พอดี ตอนนี้มันอาจจะอยู่ในช่วงที่เห่อของการใช้เทคโนโลยี ทำให้บางครั้งครูอาจจะให้เด็กเปิดคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ซึ่งมันอาจจะเกินไปและเป็นผลเสียกับเด็ก เพราะเด็กยังต้องเขียนและยังต้องคัดลายมืออยู่" นายศานนท์กล่าวว่า การเรียนรู้ในอนาคตจึงต้องเปลี่ยนจากการที่ครูเป็นเจ้าของห้องเรียน ไปสู่การทำให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตนเอง (Personalized Learning) โดยมุ่งเน้นการบูรณาการความรู้เพื่อแก้ปัญหาและสร้างสรรค์นวัตกรรมผ่านโครงการ Maker Room

"กทม. ยังให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการทำให้โรงเรียนในสังกัด กทม. เป็นที่พึ่งสำหรับประชาชนมากที่สุด ทั้งด้านคุณภาพการศึกษาและค่าใช้จ่าย เนื่องจากโรงเรียน กทม. เป็นโรงเรียนฟรี มีการดูแลอาหารเช้าและกลางวัน การทำให้โรงเรียนรัฐมีมาตรฐานที่ดีเป็นกลไกสำคัญในการชะลอการปิดตัวของโรงเรียนเอกชนระดับกลาง และช่วยลดภาระค่าครองชีพของผู้ปกครอง โดยเฉพาะชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราการเกิดที่ลดลงในปัจจุบัน" นายศานนท์ กล่าว