การศึกษา

ศธ.-สสส.มอบโล่ 333 ครูต้นแบบ “ครูดีไม่มีอบายมุข” ปีที่ 14 ชูครูเป็นเซฟโซนเด็กไทย

แชร์ข่าว

ศธ.-สสส. ชู 333 ครูต้นแบบรับโล่ “ครูดีไม่มีอบายมุข” ปีที่ 14 ย้ำความสุขที่แท้จริงคือการเรียนรู้เปลี่ยนตัวเองจากภายในจนลดละเลิกอบายมุขได้จริง ชูโมเดล “ตัวอย่างที่ดีมีค่ากว่าคำสอน” พร้อมเป็นเซฟโซนให้นักเรียน

กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับสำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า(สคล.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดพิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ “ครูดีไม่มีอบายมุข” ประจำปีการศึกษา 2568 (ปีที่ 14) ภายใต้แนวคิด “ครูผู้อารี รับมือโลกเดือดแต่ใจไม่เดือด” พร้อมกิจกรรมเสริมพลังสร้างแรงบันดาลใจ “นักรบแนวหลัง” เพื่อย้ำบทบาทครูในฐานะกลไกสำคัญในการสร้างพลเมืองคุณภาพและพื้นที่การศึกษาปลอดปัจจัยเสี่ยง โดยนายชาญวิทย์ มุนิกานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานในพิธี และนายวีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมมอบโล่ฯ ณ ห้องประชุมใกล้รุ่ง โรงเรียนราชวินิต กรุงเทพมหานคร

นายชาญวิทย์ มุนิกานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานในพิธี กล่าวว่า โครงการ “ครูดีไม่มีอบายมุข” เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ครูเท่าทันบริบทสังคมที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุและค่านิยมบิดเบือน โดยครู มิได้ทำหน้าที่เพียงถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการ หากแต่ต้องเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิต ที่มีคุณธรรม ห่างไกลอบายมุข เพื่อปกป้องและหล่อหลอมเยาวชนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ

โครงการฯ ชี้ให้เห็นว่า อบายมุขคือ “ศัตรูของความสุข” เป็นความสุขลวงที่นำไปสู่ปัญหาหนี้สิน ความทุกข์ และบั่นทอนคุณภาพชีวิต ครูจึงต้องตระหนักถึงโทษของอบายมุข และเลือกสร้างความสุขทางเลือกที่ยั่งยืน อาทิ ความสุขจากการทำงานอย่างมีคุณค่า ความอบอุ่นในครอบครัว การดูแลสุขภาพ การอยู่กับธรรมชาติ และการช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งจะช่วยเสริมพลังใจให้ครูสามารถดำรงชีวิตและวิชาชีพได้อย่างผาสุก เป็นพลังสำคัญของสังคมไทยอย่างยั่งยืน

นายสงกรานต์ ภาคโชคดี ประธานเครือข่ายงดเหล้า เปิดเผยว่า ปีการศึกษา 2568 มีผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาที่ตั้งใจรักษาศีล 5 และงดเว้นอบายมุขทุกประเภท ผ่านการคัดเลือกเข้ารับโล่ประกาศเกียรติคุณจำนวน 333 คน จากที่สมัครกว่า 3,000 คน โดยมุ่งเสริมพลังศีลธรรม พลังความดี ความงามเพื่อลดละเลิกอบายมุข พร้อมน้อมนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “คำพ่อสอน” มาสู่การปฏิบัติจริง ให้ครูดำรงตนอย่างเหมาะสม ประกอบสัมมาอาชีวะ และเป็นที่พึ่งของตนเอง ครอบครัว และเป็นที่พึ่งของนักเรียนโดยเฉพาะการสร้าง “ความรัก” หรือ Safe Zone ให้กับนักเรียน

ด้านนายสัญญา ประชากูล ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแฮดศึกษา สพม.ขอนแก่น ในฐานะประธานรุ่นครูดีไม่มีอบายมุข ปี 2568 นำกล่าวเจตนารมณ์ เสนอแนวทางพัฒนาการศึกษาไทยควบคู่การป้องกันเยาวชนจากอบายมุข 5 ประการ ได้แก่ 1) การส่งเสริมให้ครูและผู้บริหารปลอดอบายมุขเป็นต้นแบบคุณธรรม 2) การยกย่องเชิดชูครูต้นแบบ 3) การกำหนดกิจกรรมทางการศึกษาเป็นพื้นที่ปลอดแอลกอฮอล์และบุหรี่ 4) การผลักดันโครงการครูดีไม่มีอบายมุขสู่ระดับชาติ และ 5) การพัฒนาสถานศึกษาและชุมชนรอบข้างให้เป็นพื้นที่ปลอดอบายมุข (Safe Zone) อย่างยั่งยืน

นางสาวธนวรรณ ผิวบัวคำ ครูวิทยฐานะชำนาญการ โรงเรียนวัดเนินพระปรางค์ สพป.สุพรรณบุรี เขต 2 กล่าวว่า การเข้าร่วมโครงการ “ครูดีไม่มีอบายมุข” เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต จากเดิมที่เคยดื่มสุรา สูบบุหรี่ และเล่นการพนัน ส่งผลให้สุขภาพกายใจดีขึ้น รูปร่างดีสมรรถนะการทำงานสูงขึ้น และสามารถบูรณาการหลักศีล 5 สู่การเรียนการสอน จนประสบความสำเร็จในการเลื่อนวิทยฐานะเป็นครูชำนาญการ พร้อมมุ่งพัฒนาตนเองเพื่อร่วมยกระดับคุณภาพการศึกษาในอนาคต

ขณะที่นายกุลยุทธ จำนงค์ศาสตร์ (ครูสไปร์ส) โรงเรียนพลร่มอนุสรณ์ มิตรภาพที่ 50 สพป.ลพบุรี เขต 1 สะท้อนว่า ชีวิตตนเองเหมือนคนรุ่นใหม่หลายคนที่ไกลหลักศาสนา จึงใช้ชีวิตที่สุขจากการสังสรรค์ เฮฮา ดื่มเที่ยวอบายมุขมาเต็มโดยคิดว่าเป็นความสุข แต่เกิดคำถามในใจว่าแล้วความสุขที่แท้จริงคืออะไร ดีที่มีเพื่อนชวนเข้าร่วมโครงการจึงลองสมัครแล้วถูกคัดเลือกไปร่วมอบรมค่ายที่บ้านราชธานีอโศก จึงได้พบว่า ความสุขที่มาจากข้างในจริงๆ ของชาวอโศก ทำไมเขาจึงยิ้มได้ตลอดเวลา เมื่อค้นพบแล้วก็ได้ปรับตัวเอง เลิกอบายมุขทุกอย่าง แต่งานเกษียณที่ผ่านมาจำเป็นต้องดื่มนิดหน่อย จึงได้บอกกับกรรมการว่าตนเองผืดศีลข้อ 5 ไปแล้ว เพราะสำนึกว่าหากตนเองไม่บอกความจริงก็จะผิดศีลข้อ 4 อีก จึงเลือกผิดข้อเดียว ซึ่งกรรมการก็ให้โอกาสที่เรายอมรับและปรับตัวเอง จึงได้มาร่วมวันนี้ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อเราเปลี่ยนแล้ว นักเรียนก็เปลี่ยนแปลง เกิดความสุขที่แท้จริง

ด้านนางสาวณัฐมล ธารดรรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนทมป่าข่า สพป.อุดรธานี เขต 2 กล่าวทิ้งท้ายว่า โล่ “ครูดีไม่มีอบายมุข” มิใช่เพียงรางวัลเชิดชูเกียรติ แต่คือกรอบและภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืนของวิชาชีพครู การเป็นแบบอย่างที่ดีมีคุณค่ายิ่งกว่าคำสอน และเป็นพลังสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้ครูทั้งระบบ พร้อมเสนอให้หน่วยงานต้นสังกัดสนับสนุนโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลลัพธ์ที่แท้จริงเกิดกับผู้เรียน ซึ่งจะเติบโตเป็นพลังสำคัญของสังคมไทยในอนาคต

ภายหลังจากการรับโล่แล้ว ครูที่ได้เข้าโครงการจะเป็นเครือข่ายครูดีไม่มีอบายมุขร่วมกับรุ่นก่อนๆ กว่า 4 พันคน เพื่อจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนักเรียนในระดับห้องเรียน สถานศึกษาและสังคมชุมชน โดยหวังว่านโยบายของกระทรวงศึกษาธิการจะให้ความสำคัญกับ “จิตสำนึกครู” ผ่านกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามแนวทางคำพ่อสอน โดยสามารถติดตามกระบวนการได้ทางเพจเฟสบุ๊ค “โรงเรียนคำพ่อสอน” หรือ เพจ “ครูดีไม่มีอบายมุข”

แชร์ข่าว