ดร.นงค์ลักษณ์ โชติวิทยธานินทร์ สถาบันศิโรจน์ผลพันธิน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต นำเสนอบทความเรื่อง "ที่ปรึกษา : “ทางลัด” ของผู้นำองค์กร" ระบุว่า ความซับซ้อนของการบริหารองค์กรที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากผู้นำองค์กรต้องการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ “ที่ปรึกษา” กลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ช่วยเปิดทางลัดให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น เห็นอนาคตได้ไกลขึ้น และพัฒนาทีมงานได้อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในสถาบันการศึกษาซึ่งต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงระดับโลกทั้งด้านเทคโนโลยี อนาคตของทักษะ และความคาดหวังใหม่ ๆ การมีที่ปรึกษาที่แข็งแกร่งเป็นการ “เสริมพลัง” ให้ผู้นำ และเป็นการ “เร่งเครื่อง” ให้องค์กรมุ่งไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
บทบาทหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คือ ที่ปรึกษาด้านภาวะผู้นำ (Leadership Consultant) ผู้ทำหน้าที่เป็น “ผู้อยู่ข้างหลังความสำเร็จของผู้นำ” ที่ปรึกษาไม่เพียงให้คำแนะนำเชิงบริหาร แต่ยังทำงานเชิงลึกเพื่อยกระดับความสามารถของบุคลากร พัฒนากลยุทธ์ทางองค์กร และสร้างวัฒนธรรมที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน บทบาทนี้ของที่ปรึกษาเปรียบเสมือนเพื่อนคู่คิด ผู้สังเกตการณ์อย่างละเอียด และโค้ชผู้นำในเวลาเดียวกัน
หัวใจสำคัญของที่ปรึกษาคือ การทำงานร่วมกับผู้บริหารอย่างใกล้ชิด เพื่อค้นหาและพัฒนาศักยภาพของผู้นำภายในองค์กร โดยการวิเคราะห์ความสามารถ จุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสในการพัฒนา รวมถึงภาพรวมของวัฒนธรรมองค์กรและพลวัตของทีม เพื่อสร้างแนวทางที่เหมาะสมในการยกระดับภาวะผู้นำ ภารกิจนี้ช่วยให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่อาจไม่เคยสังเกตมาก่อน และเปิดพื้นที่ให้บุคลากรได้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ
หน้าที่หลักของที่ปรึกษาเริ่มต้นตั้งแต่การ พบปะ พูดคุย และกำหนดความคาดหวัง ร่วมกับผู้บริหาร จากนั้นจึงดำเนินการประเมินความต้องการขององค์กรผ่านข้อมูลจริง การสังเกต และการสำรวจ วัตถุประสงค์เพื่อค้นหาปัญหาที่ซ่อนอยู่หรือโอกาสที่ยังไม่ถูกใช้ประโยชน์ เมื่อมีข้อมูลครบถ้วน ที่ปรึกษาจะพัฒนา “กลยุทธ์การเสริมสร้างภาวะผู้นำ” ที่สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร พร้อมออกแบบแผนปฏิบัติการที่สามารถลงมือทำได้จริง เช่น การจัดเวิร์กช็อป การโค้ชรายบุคคล การสัมมนา หรือการประชุมสรุปแนวทางพัฒนา
อีกหนึ่งมิติสำคัญคือการ แก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์ ที่ปรึกษาด้านผู้นำไม่ทำหน้าที่เพียงถ่ายทอดความรู้ แต่ช่วยผู้บริหารมองเห็น
ต้นตอของปัญหาที่ส่งผลต่อทีม เช่น ความขัดแย้ง การสื่อสารที่สะดุด การคิดเชิงกลยุทธ์ที่ยังไม่ลึกพอ หรือจุดอ่อนในการทำงานร่วมกัน เมื่อเข้าใจภาพรวมชัดเจน ที่ปรึกษาจะช่วยคิดออกแบบทางแก้ที่เหมาะสม ทั้งในระดับบุคคลและระดับองค์กร
ในยุคปัจจุบัน แนวคิดเรื่อง ภาวะผู้นำแบบที่ปรึกษา (Consultative Leadership) ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นสไตล์การนำที่เปิดพื้นที่ให้ทีมงานมีส่วนร่วมในการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจ ผู้นำที่ใช้สไตล์นี้จะทำหน้าที่เหมือน “พี่เลี้ยง” มากกว่านายสั่งงาน โดยเชื่อว่าความคิดที่ดีไม่ได้เกิดจากคนคนเดียว แต่เกิดจากการผสานประสบการณ์และทักษะของทุกคนในทีม
จึงเปิดรับความเห็นแม้เป็นไอเดียที่สวนทางกับความคิดของตนเอง การนำแบบนี้ช่วยสร้างนวัตกรรม กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มความผูกพันระหว่างผู้นำกับผู้ตามได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ข้อดีของการนำแบบที่ปรึกษา คือการสร้างสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและความไว้วางใจในทีมงาน ผู้นำยอมรับว่าไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง และการเปิดใจรับฟังคือจุดเริ่มต้นของความยั่งยืน นอกจากนี้ยังเพิ่มระดับการมีส่วนร่วม เพราะเมื่อบุคลากรรู้สึกว่าความเห็นของตนมีค่า ก็จะกล้าแสดงออกมากขึ้น พร้อมรับผิดชอบต่อผลลัพธ์มากขึ้น เป็นสไตล์การนำที่เหมาะกับโลกการทำงานยุคใหม่ที่เน้นความหลากหลาย ความคิดสร้างสรรค์ และการร่วมมือ
สำหรับคนที่ต้องการก้าวเข้าสู่วิชาชีพที่ปรึกษาเส้นทางนี้ต้องอาศัยความพร้อมทางด้านการศึกษา ประสบการณ์ และการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง การเริ่มต้นจากการมีวุฒิด้านบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้เข้าใจความซับซ้อนของงานมากขึ้น ประสบการณ์ตรงในตำแหน่งผู้นำมีความสำคัญยิ่ง เพราะความน่าเชื่อถือของที่ปรึกษาเกิดจากความเข้าใจจริงในสถานการณ์ของผู้นำ ไม่ใช่เพียงทฤษฎี นอกจากนี้ การได้รับใบรับรองเฉพาะทางและการศึกษาต่อระดับสูง เช่น MBA หรือหลักสูตรผู้นำเชิงกลยุทธ์ จะช่วยเปิดโอกาสให้เติบโตในเส้นทางนี้ได้รวดเร็วขึ้น
แม้ที่ปรึกษาจะทำงานเบื้องหลัง แต่ผลลัพธ์ของงานคือ “การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ” ที่เกิดขึ้นต่อผู้นำ ทีมงาน และองค์กรทั้งหมด ผู้นำที่มีที่ปรึกษาที่ดีจะรู้เท่าทันสถานการณ์ ตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น บริหารทีมได้มั่นใจขึ้น และมองเห็นวิธีการพัฒนาองค์กรในระยะยาวอย่างเป็นระบบ ที่ปรึกษาไม่ใช่เพียงแค่ผู้ช่วย แต่เป็นผู้นำคู่ขนานที่ผลักดันศักยภาพที่ซ่อนอยู่ให้ออกมาเป็นความสำเร็จที่จับต้องได้
บทบาทที่ปรึกษาคือ การผลักดันผู้นำให้กล้าตั้งคำถาม กล้าคิดต่าง และกล้าพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง องค์กรที่มีผู้นำพร้อมเรียนรู้และมีที่ปรึกษาที่เข้าใจบริบทอย่างลึกซึ้ง ย่อมก้าวไปได้ไกลกว่าองค์กรที่ต้องเดินลำพัง เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เห็น
ผลจริง ๆ หลังการรับคำปรึกษาจากที่ปรึกษาคือ ‘คนบริหารองค์กร’ ทั้งผู้นำและทีมบริหารมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกทั้ง
วิธีคิด มุมมอง และพฤติกรรม มีทักษะความสามารถที่สูงขึ้น สามารถบริหารจัดการความท้าทายใหม่ ๆ ดีขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานและสภาพแวดล้อมการทำงานดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ต้องโหมทำแบบไร้ทิศทางแต่สุดท้าย ‘เหนื่อยฟรี!’
ดังนั้น คำถามสำคัญที่ตามมาคือ ยุคที่โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ผู้นำองค์กรพร้อมหรือยังที่จะเปิดพื้นที่ให้ “ที่ปรึกษา” เพื่อเป็นทางลัดสู่ศักยภาพที่ยังไม่เคยค้นพบ?
#ที่ปรึกษาองค์กร #ภาวะผู้นำยุคใหม่ #LeadershipConsultant







