อดีตตุลาการเสนอ โครงสร้างอำนาจประเทศไทยแนวทางใหม่ เเก้ปัญหาซื้อเสียงพาชาติถอยหลัง 30 ปี เเยกบริหารจากนิติบัญญัติเด็ดขาด ห้ามสว.เลือกนายกฯไม่ให้ สส.เป็น รมต.
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ดร.เกษม ศุภสิทธิ์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพัทยา ข้าราชการบำนาญศาลยุติธรรมได้ให้ความเห็น ประเด็นเรื่องโครงสร้างอำนาจประเทศไทยแนวทางใหม่ ว่าตามที่ได้เห็น สภาพปัญหาของบ้านเมืองในอดีตจวบจนถึงปัจจุบันที่ไม่สามารถพัฒนาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเหมือนนานาอารยประเทศอื่นได้
พรรคการเมืองซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน เมื่อได้รับเลือกเข้ามาก็ไม่สามารถนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคการเมือง เมื่อเข้ามาบริหารบ้านเมือง ก็ไม่สามารถที่จะนำนโยบายมาสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้ และมีการผลัดเปลี่ยน ตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำประเทศอย่างต่อเนื่อง ก่อเกิดปัญหาความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งกระทบกับการลงทุนและเศรษฐกิจภายในประเทศก่อให้เกิดความยากจนของประชาชน
และปัญหาเช่นนี้ ยังคงดำรงอยู่มาตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน และปัญหานี้ยังคงต้องส่งผลต่อไปในอนาคตอีกนับ 20- 30 ปี
หากเกิดสภาพปัญหาเช่นนี้ต่อไปประเทศชาติของเรา ซึ่งต้องส่งมอบเป็นมรดกของลูกหลานจะคงอยู่ได้อย่างไร ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น
ตนมีความเห็นว่า เกิดจากปัจจัยเรื่องของโครงสร้างอำนาจของประเทศไทย จึงขอเสนอความคิดในเรื่อง “โครงสร้างอำนาจประเทศไทยแนวทางใหม่ ” ซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัว ดังนี้
1. พรรคการเมือง ควรทำหน้าที่ “เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ” เท่านั้น
1.1 พรรคการเมือง ทำหน้าที่ส่งผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)จำนวน 500 คน (หรือตามจำนวนที่เหมาะสม )ให้ประชาชนเลือกตั้งไปทำหน้าที่เฉพาะด้านนิติบัญญัติเพื่อเสนอออกกฏหมาย ใช้บังคับกับคนในสังคม เท่านั้น
1.2 พรรคการเมืองไม่มีสิทธิ์ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส)ของพรรคตนเองไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้งนี้เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติ แยกออกจากฝ่ายบริหารอย่างแท้จริง
1.3 เมื่อพรรคการเมือง มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่เพียงฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น ปัญหาเรื่องของการซื้อขายเสียงเพื่อให้ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมลดน้อยลงไป เพราะสภาพปัญหาในปัจจุบันนั้นพรรคการเมืองต้องมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาให้มีจำนวนมากที่สุดเพื่อที่จะไปใช้มือของ ส.ส. โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของพรรคตัวเองเพื่อเข้ามาบริหารประเทศ แต่เมื่อพรรคการเมืองมีหน้าที่หาเสียงให้ประชาชนเลือกตั้งเข้าไปเพื่อทำหน้าที่เฉพาะ“ฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น” ปัญหาเรื่องการซื้อเสียงจะน้อยลงไป
2. สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว) ทำหน้าที่ช่วยกลั่นกรองกฎหมาย
ควรมาจากการแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎร(จำนวนคนตามที่เห็นสมควรเหมาะสม)โดยคัดเลือกจากผู้ทรงคุณวุฒิในทุกๆด้าน และสมาชิกวุฒิสภาควรทำหน้าที่เป็นเฉพาะ “ผู้กลั่นกรองกฎหมายเท่านั้น ”
3.ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี(ฝ่ายบริหาร)ควรมาจากบุคคลที่เสนอตัว โดยคัดเลือกจากผู้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมจากนั้นเสนอความเห็นชอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น เพราะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) มาจากประชาชนที่เลือกตั้งเป็นตัวแทนของตนเอง
ความหมาย คือ ประชาชนเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส) จากนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปเลือกนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศ
แต่สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว) ไม่มีสิทธิ์เลือกนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี เพราะสมาชิกวุฒิสภา มาจากการแต่งตั้งจึงไม่ใช่เป็นตัวแทนของประชาชนอันแท้จริง เพราะไม่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
4. ศาลรัฐธรรมนูญ อาจมีการปรับเปลี่ยนเชิงอำนาจตามบริบทของโครงสร้างอำนาจประเทศไทยแนวทางใหม่
5. องค์กรอิสระได้แก่ ปปช. และ กกต. อาจมีการปรับเปลี่ยนเชิงอำนาจตามบริบทของโครงสร้างอำนาจประเทศไทยแนวทางใหม่
“โครงสร้างอำนาจของพรรคการเมืองในปัจจุบันทำหน้าที่ เป็นทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร นั้นก่อให้เกิดปัญหาในเชิงการบริหารชาติบ้านเมือง”
จากสภาพปัญหาดังกล่าวจึงมีความเห็นว่า “ควรแยกอำนาจของพรรคการเมืองให้ไปทำหน้าที่เฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น ”
ส่วนอำนาจการบริหารนั้น ผู้เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ( ต้องไม่ใช่ ส.ส.)
ได้รับการโหวตลงมติเห็นชอบจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่ง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีนั้น ต้องได้ผ่านความเห็นชอบจาก สภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)เท่านั้น
และมีความพร้อมในเรื่องของ“ภาวะผู้นำ”ในการที่จะนำอำนาจบริหารไปใช้บริหารชาติให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป
“เมื่อได้แยกอำนาจนิติบัญญัติ ออกจากอำนาจบริหารโดยเด็ดขาดแล้ว ” ปัญหาเรื่องการซื้อเสียงเพื่อที่จะให้ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้มากที่สุดเพื่อที่จะหัวหน้าพรรคการเมืองของแต่ละพรรคการเมืองก้าวสู่ การเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีก็จะหมดสิ้นไป ปัญหาการซื้อเสียงในประเทศชาติก็จะลดน้อยลง
ซึ่งข้อคิดเห็นทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนในเรื่องของ“โครงสร้างอำนาจของประเทศไทยแนวทางใหม่ ” ด้วยผู้เขียนหวังว่าประเทศชาติของเรานั้นจะได้เจริญรุ่งเรือง มีเศรษฐกิจที่มั่งคั่ง
มีการเมืองที่มั่นคง และความสุขของคนในชาติกลับคืนมา“เพื่อส่งมอบให้กับลูกหลานของพวกเราต่อไปและมีความเจริญเหมือนนาอารยประเทศ







