1. คนเจน Z กว่า 91% ใช้โซเชียลมีเดียทุกวัน และกว่า 50% ใช้เวลาอยู่หน้าจอเกินวันละ 3 ชั่วโมง โดยคนกลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต จึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมออนไลน์ยุคใหม่
2. แบรนด์ต่าง ๆ เลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์เป็นสื่อหลักบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ดาราดัง แต่ขอแค่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือคนดังในกลุ่มเฉพาะใดก็พอ พร้อมตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่ที่ไม่ติดตามสื่อเหมือนในอดีต
3. แพทย์ไทยจาก Mona Clinic มองว่า สำหรับความน่าเชื่อถือของแพทย์ ไม่ได้ลดลงไป แต่ควรเน้นย้ำที่ไปความถูกต้อง ปลอดภัย และเหมาะสมจะดีที่สุด
ในยุคที่โซเชียลมีเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน อินฟลูเอนเซอร์ยิ่งมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มคนเจน Y และ Z ที่หันมารับข้อมูลจากคนดังออนไลน์มากขึ้น งานวิจัยจากฮ่องกงและสหรัฐอเมริการะบุว่า คนเจน Z ถึง 48% มองว่าอินฟลูเอนเซอร์น่าเชื่อถือกว่าแพทย์ และเจน Y ก็มีสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ 46% สะท้อนให้เห็นเทรนด์ใหม่ว่า คนวัยทำงานรุ่นใหม่อาจไม่ได้ฟังผู้เชี่ยวชาญเหมือนในอดีตอีกต่อไป
แม้อินฟลูเอนเซอร์จะเป็นกำลังสำคัญด้านการตลาด แต่ฝั่งแพทย์เองก็ย้ำว่า ข้อมูลและหลักฐานทางการแพทย์ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการให้คำแนะนำที่คลาดเคลื่อนอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพในอนาคต
โซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนเจนใหม่
จากงานวิจัยของ Askattest พบว่า คนเจน Z กว่า 91% ใช้โซเชียลมีเดียทุกวัน และกว่า 50% ใช้เวลาอยู่หน้าจอเกินวันละ 3 ชั่วโมง โดยคนกลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต จึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมออนไลน์ยุคใหม่ ขณะเดียวกันเจน Y ก็ยังใช้งานออนไลน์ไม่น้อย โดยเฉลี่ยวันละ 2 ชั่วโมง 45 นาที และมีจำนวนถึง 86% ที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลหลัก ทั้งการเลือกซื้อสินค้าและติดตามข่าวสารต่าง ๆ
เหตุผลที่อินฟลูเอนเซอร์น่าเชื่อถือกว่าแพทย์ในสายตาคนรุ่นใหม่
การเข้าถึง “คนดังออนไลน์” ทำได้ง่ายมากขึ้นผ่านสมาร์ทโฟน ต่างจากการพบแพทย์เฉพาะทางที่มีเรื่องการเดินทางเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงทำให้ข้อมูลที่ได้รับจากอินฟลูเอนเซอร์ดูใกล้ตัว คล้ายการฟังเพื่อนเล่าประสบการณ์ ขณะที่อัลกอริทึมของแต่ละแพลทฟอร์มยังคอยป้อนคอนเทนต์ตรงความสนใจ ทำให้ข้อมูลจากอินฟลูฯ เข้าถึงง่ายแทบไม่ต้องพยายาม
นี่จึงเป็นเหตุผลที่แบรนด์ต่าง ๆ เลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์เป็นสื่อหลักบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะ TikTok, Instagram, Facebook หรือ YouTube ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ดาราดัง แต่ขอแค่เป็นผู้เชี่ยวชาญหรือคนดังในกลุ่มเฉพาะใดก็พอ พร้อมตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่ที่ไม่ติดตามสื่อหรือข่าวเหมือนในอดีต
ด้านคุณ Newzy อินฟลูเอนเซอร์และนางแบบแบรนด์ Showpo จากประเทศออสเตรเลีย เผยว่า อินฟลูฯ กลายเป็น “Advertising Tool” ที่แบรนด์ให้ความสำคัญ หากผู้ติดตามตรงกลุ่มเป้าหมาย มีการเข้าถึงดี และบุคลิกน่าจดจำ ก็ยิ่งโน้มน้าวผู้บริโภคได้มากขึ้น เธอเล่าว่า “หลายครั้งมีคน DM มาขอทำตามสิ่งที่เธอโพสต์ออกไป”
ด้าน Mona Clinic ที่เพิ่งเปิดตัวยูทูบเบอร์เกาหลี “Yang Dong Won” เป็น Friends of Brand ก็มองว่า คนไทยยังให้ความเชื่อถืออินฟลูเอนเซอร์สูง ด้วยความรู้สึกว่าอินฟลูฯ “เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายกว่า” หรือ “ได้ลองใช้จริงก่อนคนอื่น ๆ” ทำให้คำแนะนำดูใกล้ชิดกว่าการสื่อสารจากแพทย์หรือแบรนด์โดยตรง ผู้บริโภคจึงมองอินฟลูฯ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการรีวิวสินค้าและเซอร์วิสต่าง ๆ
ด้านความนิยมของอาชีพอินฟลูเอนเซอร์นั้น สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากการใช้ Hashtag บน Instagram ของ คำว่า “Influencer” กว่า 4 ล้านครั้ง ขณะที่ Hashtag “หมอ” หรือ “แพทย์” มีเพียง 2 แสนครั้ง หรือเพียง 5% เมื่อเทียบทั้งสองสายอาชีพ
ขณะที่ CEO ของ Mona Clinic อย่าง “คุณยู ณัฐดนัย จีระเดชากุล” มองว่า อิทธิพลของอินฟลูฯ มาจากความต้องการของผู้บริโภคเอง ““สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Influencer มีพลังในการโน้มน้าวใจ คือการที่พวกเขาสามารถสะท้อนปัญหา ความต้องการ หรือความกังวลของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในธุรกิจคลินิกความงาม ซึ่งเป็นธุรกิจที่การตัดสินใจของลูกค้าส่วนใหญ่มักพึ่งพา “ความเชื่อมั่น” และ “ผลลัพธ์ที่จับต้องได้”
ผู้บริโภคในปี 2025 ไม่ได้ตัดสินใจซื้อจากโฆษณาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่พวกเขาใช้เวลาอ่านรีวิว ดู Before-After และศึกษาความเห็นของคนที่เคยมีประสบการณ์จริง ยิ่งถ้ารีวิวเหล่านั้นมาจาก Influencer ที่พวกเขาชื่นชอบหรือรู้สึกว่า “คล้ายกับตัวเอง” ความน่าเชื่อถือก็ยิ่งเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
สำหรับธุรกิจคลินิกความงามแล้ว การเลือก Influencer ที่มีบุคลิกหรือปัญหาตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่ม Conversion และความเชื่อมั่นได้อย่างแท้จริง”
แม้ไม่ใช่อินฟลูเอนเซอร์ แต่แพทย์ก็ยังเป็นผู้ให้คำแนะนำที่ดีกว่า
ปัจจุบันมีแพทย์จำนวนมากเริ่มใช้โซเชียลมีเดียสื่อสารกับประชาชนมากขึ้น ทั้งแชร์ประสบการณ์เคสจริง และให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น Dr. Elizabeth Houshmand แพทย์ผิวหนังสหรัฐฯ ที่เผยเคสคนไข้วัย 9 ขวบแพ้คลีนเซอร์ที่เห็นจากคลิปออนไลน์ เพราะมี Glycolic acid ที่ไม่เหมาะกับผิวเด็ก ซึ่งโชคดีที่ท้ายที่สุด เธอได้เข้ารับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทางได้ทันท่วงทีจึงไม่เกิดปัญหารุนแรงตามมา
ด้าน Dr. Tan Ying Zhou แพทย์จากสิงคโปร์ได้ระบุว่า กระแสออนไลน์มีส่วนช่วยให้หัตถการความงามได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะจากอิทธิพลของ K-Pop อย่างไรก็ตาม เขายังเป็นห่วงเรื่องความคิดเห็นของอินฟลูฯ บางคนที่อาจจะรีวิวเฉพาะข้อดี โดยขาดการประเมินจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ ซึ่งจำเป็นต่อความปลอดภัยของผู้รับบริการเช่นกัน
ส่วนความเห็นจากแพทย์ในประเทศไทยเอง ทาง “หมอมิลค์” พญ.ศริญญา คำอ้าย จาก Mona Clinic มองว่า ความนิยมของหัตถการในกลุ่มเจน Y และ Z เติบโตสูงในช่วง 1–2 ปีที่ผ่านมา โดยเจน Z ให้ความสำคัญกับข้อมูลเร็ว ผลลัพธ์ธรรมชาติ ไม่ต้องพักฟื้นมาก และเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่อายุน้อยผ่าน Botox, filler, IV drip รวมถึงหัตถการเชิงป้องกัน แตกต่างจากเจน X และ Y ที่เน้นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
โดยเธอแสดงความเห็นของกระแสความน่าเชื่อถือของแพทย์เมื่อเทียบกับเหล่าครีเอเตอร์ไว้ว่า “สำหรับความน่าเชื่อถือของแพทย์ สำหรับหมอมิลค์นั้น ไม่ได้ลดลงไป แต่ให้เน้นย้ำที่ไปความถูกต้อง ปลอดภัย และเหมาะสมจะดีที่สุด ในปัจจุบันเป็นยุคที่ข้อมูลสามารถเข้าถึงได้ง่าย เทรนด์ความงามก็ค่อนข้างเป็นสิ่งที่มาไวไปไว การสื่อสารของแพทย์จึงควรเน้นที่ ความถูกต้อง, ความปลอดภัย, ความเหมาะสม (Individualization) มากกว่าความนิยมตามกระแส เพื่อยกระดับความน่าเชื่อถือจาก "หมอที่ตามเทรนด์" ไปสู่ "แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้"
กระแสอินฟลูเอนเซอร์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วสะท้อนพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคดิจิทัลที่ต้องการข้อมูลเร็ว เข้าถึงง่าย และรู้สึกใกล้ชิดมากกว่าการสื่อสารแบบดั้งเดิม แม้อิทธิพลของครีเอเตอร์จะช่วยขับเคลื่อนการตัดสินใจของคนเจน Y และ Z ได้ดี แต่ข้อมูลทางการแพทย์ที่ถูกต้องและปลอดภัยยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะในธุรกิจด้านสุขภาพและความงามที่ผลลัพธ์มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้รับบริการ สุดท้ายแล้ว ทางผู้บริโภคจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการเลือกตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลจากทั้งผู้เชี่ยวชาญและคอนเทนต์รีวิวจากผู้ใช้จริงเพื่อตอบโจทย์สิ่งที่เหมาะสมกับพวกเขามากที่สุด








