เรื่อง : ปาริชาติ เฉลิมศรี
สำหรับปี 2568 เป็นที่ประเทศไทยเจอปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งการสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา น้ำท่วมในหลายจังหวัด และจุดเปลี่ยนทางการเมืองไทย ซึ่งถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่ภายใน 1 ปี มีนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน “สยามรัฐ” ได้รวบรวมเหตุการณ์สำคัญไว้ดังนี้
“แพทองธาร” จบนายกฯ คลิปเสียงฮุนเซน
ถือเป็นจุดผลิกผันของ “แพทองธาร ชินวัตร ” อดีตนายกรัฐมนตรีคน 31 ของประเทศไทย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ให้ความเป็นรัฐมนตรีของ แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และทำให้ แพทองธาร พ้นตำแหน่งนายกฯ ทันทีตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2568 ซึ่งต้นเหตุเรื่องนี้มาจากกรณี "คลิปเสียงสนทนา" ระหว่าง แพทองธาร กับ “สมเด็จ ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่พูดถึงการเจรจาพื้นที่ทับซ้อน และสถานการณ์ชายแดน
โดยศาลเห็นว่า ในฐานะผู้นำประเทศ การเจรจาในลักษณะดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์สูงสุดของรัฐ และพฤติการณ์ดังกล่าว ถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) ที่กำหนดว่า รัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม
และจากผลคำวินิจฉัยนี้ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่ง และเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกฯ คนใหม่ในสภาผู้แทนราษฎรทันที
- เกมเฉือนเกม “อนุทิน- พรรคประชาชน”
จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณี แพทองธาร ทำให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งสถานการณ์เมืองช่วงนี้ถือว่ามีความเข้มข้น เพราะเมื่อ “พรรคภูมิใจไทย” นำโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” หันหลังให้กับ “พรรคเพื่อไทย” พร้อมเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลแข่ง
แต่เมื่อพรรคภูมิใจไทยมีเสียงในสภาไม่พอ จึงต้องดีลกับ “พรรคประชาชน” เพื่อให้ยกมือโหวต อนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีการทำ เอ็มโอเอในเงื่อนไขว่า รัฐบาลอนุทินต้องทำหน้าที่เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อแก้รัฐธรรมนูญในประเด็นสำคัญ และจะดำรงตำแหน่งเพียงระยะสั้นสะสางงานด่วน และคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ในช่วงต้นปี 2569
ในที่สุดเมื่อวันที่ 5 ก.ย. อนุทิน ก็ได้รับการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีไปไปด้วยคะแนน 311 เสียง เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 จากนั้นวันที่ 7 ก.ย. มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และในวันที่ 19 ก.ย. มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี พร้อมกับเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณในวันที่ 24 ก.ย. ก่อน อนุทิน จะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 29 ก.ย. ถือเป็นจุดเริ่มการทำงานของรัฐบาลอนุทิน
แต่แล้วประวัติศาสตร์การเมืองก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ อนุทิน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ” ช่วงค่ำวันที่ 11 ธ.ค. 2568 ก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาในวันที่ 12 ธ.ค. 2568
หลังพรรคฝ่ายค้านทั้ง พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยเตรียมจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล อนุทิน จากปมขัดแย้งในการโหวตแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อลดอำนาจ สว. ในการลงมติวาระ 3 ที่ผลการโหวตไม่เป็นตามที่ตกลงกันในเอ็มโอเอ แต่ พรรคประชาชนก้าวช้าไป 1 ก้าว เพราะ อนุทิน ชิงความได้เปรียบทางเมืองประกาศยุบสภาในวันเดียวกัน ทำให้ อนุทิน ทำหน้าที่ "นายกรัฐมนตรีรักษาการ" ไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ. 2569
⁃ “นายใหญ่” เพื่อไทย ถูกจำคุก
การเมืองร้อนๆ ปีนี้ที่ไม่มีใครคาดคิด และถือเป็นคราวเคราะห์ ของตระกูลชินวัตร เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งว่าการส่งตัวทักษิณ ไปรักษานอกเรือนจำที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากอาการป่วยไม่ได้ฉุกเฉินจนโรงพยาบาลราชทัณฑ์รักษาไม่ได้
โดยศาลสั่งให้นับระยะเวลาที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ “ไม่ถือเป็นการรับโทษ” ส่งผลให้ ทักษิณต้องกลับเข้าสู่กระบวนการคุมขัง เพื่อรับโทษที่เหลือจริง 1 ปี โดยเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่มีคำสั่ง ทั้งนี้ ทักษิณ ต้องเริ่มต้นจากการเป็นนักโทษชั้นกลาง และต้องทำความดี หรือปฏิบัติตามระเบียบเพื่อเลื่อนเป็นนักโทษชั้นดี หรือชั้นดีเยี่ยม ถึงจะมีสิทธิได้รับการพิจารณาพักโทษ ซึ่งสิทธิพักโทษ ต้องได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ หรือไม่น้อยกว่า 6 เดือน ทั้งนี้ ทักษิณ ยังมีคดีตามมาตรา 112 ที่อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของศาล ที่ต้องมาลุ้นว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีนี้จะเป็น “คุณ” หรือ “โทษ” กับทักษิณ
⁃ “อภิสิทธิ์” หวนคืน “ประวิตร” พักก่อน การเมืองไทย
ตั้งแต่เลือกการเลือกตั้งปี 2566 ที่เรียกได้ว่าเป็นขาลงของ “พรรคประชาธิปัตย์” ที่ความนิยมลดลง ผลการเลือกตั้งที่ออกมาจนทำให้ พรรคประชาธิปัตย์ที่เคยยิ่งใหญ่ลดฮวบ กลายเป็นพรรคที่มี สส. ในสภาเพียง 25 คน รวมถึงความขัดแย้งภายในพรรค เปลี่ยนหัวหน้าพรรค เปลี่ยนอุดมการณ์ในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย
แต่วันนี้ดูเหมือนวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ จะกลับมาอีกครั้ง เมื่อ “อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กลับเข้าสู่การเมือง พร้อมเป็นผู้นำพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง โดยการกลับมาหนนี้ เป็นการรื้อฟื้นศรัทธาของพรรคให้หัวขบวนฝ่ายอนุรักษนิยมสายกลางอีกครั้ง โดยล่าสุด อภิสิทธิ์ ได้เปิดตัวเป็น แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งวันที่ 8 ก.พ. 2569 พร้อมแคมเปญ “ไทยหายจน ด้วยคนทำเป็น” พร้อมเปิด 27 นโยบายหลัก
ในทางกลับกัน “พรรคพลังประชารัฐ” ที่นำโดย “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หรือ “บิ๊กป้อม” พรรครัฐบาลที่ยิ่งใหญ่เมื่อปี 2562 กลับกลายประสบภาวะยิ่งอยู่ยิ่งเล็ก เมื่อสมาชิกพรรคต่างทยอยทิ้งพรรค ทิ้งบิ๊กป้อม ไปซบพรรคการเมืองอื่น หรือออกไปหนทางของตัวเอง
ที่ล่าสุดตอกย้ำวิกฤติของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อในวันรับสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งนี้กลับไม่มีชื่อ พล.อ.ประวิตร โดยพรรคได้ส่ง “ตรีนุช เทียนทอง” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับ 1 และ “ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี” เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอันดับ 2 พร้อมยืนยันว่า บิ๊กป้อม ยังสบายดีและจะยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐต่อไป







