บทความการเมือง

“สภาสูง” กับอำนาจหลังฉาก ! จับตา “สว.สีน้ำเงิน” ครองสถานะ “ผู้กำหนดเกม”

แชร์ข่าว

เรื่อง : ชนิดา สระแก้ว

การเมืองไทยหลังยุบสภา เมื่อวุฒิสภากลายเป็นผู้กำหนดเกม!!

เลือกตั้งยังไม่เริ่ม แต่เกมถูกตั้งไว้แล้ว และ “หมาก” ในเกมนี้ ยังมี “วุฒิสภา” เป็น “ตัวแปร” สำคัญอีก“สภาสูง” กับอำนาจหลังฉาก

“อาณาจักรสีน้ำเงิน” หลังยุบสภาเมื่อสภาสูงกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจที่แท้จริงของการเมืองไทย

การยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ในสายตาประชาชนจำนวนมาก อาจเป็นเพียงการ “รีเซ็ต” กระดานการเมือง เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหม่ 8 กุมภาพันธ์ 2569

แต่ในอีกมุมหนึ่ง การยุบสภาครั้งนี้กลับเป็นเหมือนการ เปิดพื้นที่อำนาจเงียบ ๆ ให้กับสถาบันการเมืองที่ไม่ถูกยุบตามไปด้วย นั่นคือ วุฒิสภา

คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ว่า “ใครจะชนะการเลือกตั้ง” แต่คือ ใครกำลังคุมเกมการเมืองไทยอยู่ในช่วงสุญญากาศอำนาจนี้ ?

แม้รัฐธรรมนูญปี 2560 จะตัดอำนาจ สว. ในการร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีออกไปแล้ว แต่หลังการยุบสภาผู้แทนราษฎร บทบาทของวุฒิสภากลับไม่ได้ลดลงอย่างที่หลายคนคิด

ตรงกันข้าม วุฒิสภายังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ในหลายกรณีสำคัญ !

โดยเฉพาะเมื่อมี พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมวิสามัญแห่งรัฐสภา หน้าที่เหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่ การทำหน้าที่รัฐสภาในกิจการที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม และที่สำคัญที่สุด คือ การให้ความเห็นชอบบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ

การแต่งตั้งองค์กรอิสระต้องผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภา ไม่ว่าจะเป็น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

องค์กรเหล่านี้ไม่ใช่เพียงกลไกตรวจสอบตามตำรา แต่คือหน่วยงานที่สามารถ กำหนด “ชะตา” พรรคการเมือง นักการเมือง และรัฐบาลทั้งชุดได้จริง

และในช่วงที่ประเทศมีเพียงรัฐบาลรักษาการของรัฐบาล ใครที่สามารถคุมเสียงในวุฒิสภาได้

ย่อมมีโอกาส วางตัวบุคคลของตนเองลงในตำแหน่งยุทธศาสตร์ คนของตัวเองได้ วางขุมกำลังไว้รองรับการจัดตั้งรัฐบาลครั้งต่อไป โดยเฉพาะกรรมการการเลือกตั้ง ก่อนเกมเลือกตั้งจะเริ่ม

ข้อมูลเชิงลึกทางการเมืองระบุชัดว่า วุฒิสภาที่ถูกเรียกกันว่าเป็น “สายสีน้ำเงิน” ครองเสียงข้างมากกว่า 150–160 เสียง จากทั้งหมด 200 คน

จากเดิมที่เคยเป็นกลไกสนับสนุนการเลือกนายกรัฐมนตรี วันนี้กลุ่มนี้ได้แปรสภาพมาเป็น ผู้คุมกติกา และผู้คัดกรองคนของพรรคการเมืองสีเดียวกันเข้าสู่องค์กรอิสระอย่างเบ็ดเสร็จ

อำนาจนี้เปรียบเสมือน “ฝ่ายทรัพยากรบุคคลระดับประเทศ” เพราะใครจะได้เป็น กกต. ใครจะได้นั่งเก้าอี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือใครจะคุม ป.ป.ช. ที่เป็นหน่วยงานตรวจสอบ ชี้เป็นชี้ตาย ล้วนต้องผ่านด่านวุฒิสภาชุดนี้ทั้งสิ้น

และหากพรรคภูมิใจไทยหรือขั้วอำนาจที่เกี่ยวข้องต้องการผลักดันบุคคลใด โครงสร้างปัจจุบันเอื้อให้ “ทำได้ทันที”

หนึ่งในภาพสะท้อนอำนาจของวุฒิสภาที่ชัดเจนที่สุดในปี 2568 คือบทบาทของ คณะกรรมาธิการตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และจริยธรรม หลายกรณีปรากฏชื่อ สว. หน้าเดิม วนเวียนเข้ามาทำหน้าที่คัดกรองบุคคลสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการโหวตคว่ำผู้สมัครที่ถูกมองว่าอยู่คนละขั้ว หรือการเร่งรัดกระบวนการเห็นชอบในช่วงจังหวะการเมืองเข้มข้น

กระบวนการเหล่านี้ถูกตั้งคำถามอย่างหนักว่ากำลังทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อความเป็นอิสระ หรือกำลังสร้าง “เกราะป้องกัน” และ “อาวุธทางกฎหมาย” ให้กับขั้วอำนาจบางฝ่าย

แม้ สว. จะไม่มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่พวกเขายังคงถือ “อำนาจยับยั้ง” การแก้ไขรัฐธรรมนูญ

โดยเฉพาะ “มาตรา 256”  ซึ่งกำหนดให้การแก้ไขในวาระแรก ต้องได้รับเสียงเห็นชอบจาก สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือ 67 เสียง จับมือกับพรรคสีน้ำเงิน ลงมติให้คงอำนาจสว.ยังคงมีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย

การประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ที่เห็นชอบให้จัดทำประชามติถามประชาชน เรื่องการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และให้ลงคะแนนพร้อมการเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 จึงกลายเป็นอีกหนึ่งสนามที่อำนาจของวุฒิสภามีผลชี้ขาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผ่านพรรคการเมืองสีน้ำเงิน

เมื่อกลุ่มสีน้ำเงินมีเสียงเกินเกณฑ์นี้อย่างสบาย คำตอบจึงชัดเจนว่า หากไม่ให้ “ไฟเขียว” การปฏิรูปโครงสร้างประเทศก็แทบไม่อาจขยับไปไหนได้ !

ดังนั้นการเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569  อาจเป็นสนามแข่งขันของพรรคการเมืองในสายตาประชาชน แต่ในทางปฏิบัติ วุฒิสภายังคงเป็นผู้ถือดุลอำนาจสำคัญ เพราะพวกเขาคือผู้ให้ความเห็นชอบ “คนที่ไปคุมกระบวนการเลือกตั้ง” ตั้งแต่ต้นน้ำต่างหาก

หากเกิดข้อร้องเรียน การตีความคุณสมบัติ หรืออุบัติเหตุทางการเมืองหลังเลือกตั้ง สภาสูงภายใต้เงาสีน้ำเงินนี่เอง

ที่จะเป็นผู้ตัดสินว่า ประเทศไทยจะได้รัฐบาลแบบใด จะ “ปิดสวิตช์” หรือ “เปิดทาง”

ในวันที่ สว. ไม่ได้ชูมือเลือกนายกรัฐมนตรี พวกเขากลับมีอำนาจเลือก “คนที่ไปคุมคนเลือกนายกฯ” นี่คืออำนาจที่ไม่หวือหวา ไม่อยู่หน้าเวทีแต่ลุ่มลึก เงียบ และยืนระยะได้ยาวนานอย่างแท้จริง !

การเมืองไทยหลังยุบสภา จึงไม่ใช่แค่การแข่งขันในคูหาเลือกตั้ง แต่คือการต่อสู้เชิงโครงสร้าง โดยที่ “อาณาจักรสีน้ำเงิน” ในสภาสูง กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป!

ข่าวแนะนำ