กลายเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สวนทาง เกิดภาพสวนทางกับบรรยากาศอันคึกคักของการเลือกตั้ง อย่างยิ่ง !
ขณะที่แทบทุกพรรคต่างพากันเปิดตัว ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสส. ไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งพรรคใหญ่ พรรคใหม่ที่หวัง “แจ้งเกิด” ในสนามเลือกตั้งรอบหน้าปีหน้า 2569 แต่ปรากฏว่า พรรคพลังประชารัฐ ที่วันนี้ยังมี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค กลับพลิกมุมชนิด 360องศา
เมื่อสมาชิกพรรค ทยอยยื่นใบลาออก แจ้งความประสงค์ “ไม่ไปต่อ” รวมทั้ง “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล" ลาออกจากแคนดิเดตนายกฯ และขอกลับไปเป็นนักวิชาการอิสระ ในวันนี้ วันเดียวกัน “วัน อยู่บำรุง” ไปยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคที่กกต. พร้อมทั้งระบุว่า “เว้นวรรค” ทางการเมือง ไม่ลงเลือกตั้งครั้งนี้ ส่วน “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ผู้เป็นพ่อ ที่ย้ายออกจากพรรคเพื่อไทย แล้วมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ ได้เลือกทาง “วางมือ” ทางการเมือง
สิ่งที่เกิดขึ้น คือ อาฟเตอร์ช็อกตามมาหลังจากที่มีความชัดเจนว่า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร เตรียมวางมือทางการเมืองแล้ว
ทั้งธีระชัย และวัน อยู่บำรุง เลือกเว้นวรรค กลับไปอยู่ในที่ตั้งของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันยังมีอดีตสส. ที่เคยพากันมาเปิดตัวที่พรรคพลังประชารัฐ ได้ทยอยลาออก แล้วย้ายไปสวมเสื้อพรรคกล้าธรรม ของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรค ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ กันอย่างคึกคัก
เรียกว่าหากบรรยากาศ บ้านใหญ่ บ้านใหม่ และก๊วนการเมือง พาเหรดเข้าพรรคภูมิใจไทยชนิดหัวบันไดไม่แห้งฉันใด ที่พรรคกล้าธรรมเองบรรยากาศก็เป็นเช่นนั้น
ในความแตกต่างระหว่างพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคเดิมที่ร.อ.ธรรมนัส เคยอยู่และเติบโต ทำงานใกล้ชิดจนเป็นที่ “ไว้วางใจ” ของพล.อ.ประวิตร เริ่มเด่นชัดมากขึ้น เพราะวันนี้พรรคพลังประชารัฐ “นับถอยหลัง” ส่วนพรรคกล้าธรรม อยู่ในโหมดของการ “สะสมแต้ม” จากการเลือกตั้งรอบนี้
พรรคพลังประชารัฐ เคยเป็นพรรคการเมืองใหญ่ มีต้นทางมาจาก “3ป.” หลังการรัฐประหาร พรรคต่อตั้งเมื่อปี 2561 จากนั้นลงสนามครั้งแรก ในปี 2562 ทำสถิติกวาดสส.เข้าสภาฯ ไปได้ถึง 116 ที่นั่ง เป็นรองพรรคเพื่อไทย แต่สามารถประกาศตั้งรัฐบาลผสม ดึงพรรคการเมืองต่างๆเข้าร่วม กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
ต่อมาพรรคพลังประชารัฐโดยการนำของพล.อ.ประวิตร และมีร.อ.ธรรมนัส เป็น “มือขวา” พาสส.เข้าสภาฯ มาได้40 ที่นั่ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพรรคพลังประชารัฐ ถูกแบ่งออกไปในปีกที่หนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ
น่าสนใจว่า สถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 จนถึงวันนี้อยู่ในสภาพที่เรียกว่ากัดฟันสู้มาโดยตลอด และยิ่งเมื่อ เกิดรอยร้าวระหว่างพล.อ.ประวิตร และร.อ.ธรรมนัส จนต่อมามีการ “แยกวง” ร.อ.ธรรมนัส ออกมาตั้งพรรคกล้าธรรม และยังกลายเป็น “รังใหม่” สำหรับคนที่เคยอยู่กับบิ๊กป้อม
จากศิษย์สำนักพลังประชารัฐ อย่างร.อ.ธรรมนัส วันนี้กำลังเติบโต ผลักดันพรรคกล้าธรรม ในสนามเลือกตั้งในฐานะ “เจ้าของพรรค” และประกาศเป็นแคนดิเดตนายกฯเพียงคนเดียวไม่อ้อมค้อม หลายคนมองว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่ร.อ.ธรรมนัส ไปทำงานพื้นที่ให้กับพรรค จนสามารถวางผัง รู้จักพื้นที่และคน กลายเป็นการสะสมกำลังมก่อนแล้ว
เมื่อบวกกับความอ่อนล้า ของพรรคพลังประชารัฐบาล ยิ่งเมื่อพล.อ.ประวิตร ลาออกจากการเป็นแคนดิเดตนายกฯ แล้วพยายาม “ผลักดัน” แกนนำคนอื่นขึ้นไปแทน ยิ่งตอกย้ำ “สัญญาณถอย” ที่ชัดเจน ว่าทั้งไม่ไปต่อ และไปต่อไม่ไหว เมื่อวันนี้บริบทการเมืองเปลี่ยนแปลงไปแล้วหลังการรัฐประหาร เมื่อปี 2557 เป็นต้นมา








