บทความการเมือง

ดราม่าเดือด! จาก “ไม่ยอมอพยพ” ถึง “ปิดไมค์หนี” วิกฤติสื่อสารรัฐบาลกลางน้ำท่วม

แชร์ข่าว

พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก!! สำหรับรัฐบาลอนุทิน เมื่อกระบอกเสียงของรัฐบาล ไล่มาตั้งแต่ประเด็น "ไม่ยอมอพยพ" มาถึงกรณี "ปิดไมค์" เรียกได้ว่าเป็น “จังหวะนรก” ถูกดราม่าถล่มจากการสื่อสาร นี่คือวิบากกรรมของโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่รับบท “หนังหน้าไฟ” ต้องออกรับออกร้อนแทนนาย ก็คือนายกรัฐมนตรี

เริ่มจากกรณีที่ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแถลงเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยและผลกระทบที่ตามมา เกิดประเด็นที่สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงคือการที่ “สิริพงศ์” อ้างในระหว่างการแถลงข่าวว่า รัฐบาลไม่ได้บริหารผิดพลาดหรือล่าช้าในการรับมือกับวิกฤตน้ำท่วมที่มาอย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการที่ประชาชนไม่ยอมอพยพออกจากพื้นที่ แม้จะมีการสั่งการและแจ้งเตือนแล้ว

"สิริพงศ์" แก้ต่างว่ารัฐบาลได้สั่งการให้อพยพแล้ว แต่เชื่อว่าปัญหาการช่วยเหลือและกู้ภัยที่เกิดขึ้นนั้น อาจเกิดจากประชาชนไม่ยอมออกจากพื้นที่ และคาดว่าเหตุการณ์ล่าช้าในการช่วยเหลือบางกรณีอาจเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ “เรียกแล้วไม่ได้ยิน” ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์จากสังคม คำกล่าวอ้างนี้ถูกตีความว่าเป็นการผลักภาระความรับผิดชอบในการเตรียมความพร้อมและความล้มเหลวของการจัดการวิกฤตไปให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัย แทนที่จะยอมรับว่าการเตือนภัย ระบบการอพยพ หรือความช่วยเหลือของรัฐบาลอาจยังไม่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพเพียงพอ

ซึ่งคำพูดดังกล่าวสร้างความรู้สึกว่ารัฐบาลขาดความเห็นอกเห็นใจ และไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงของผู้ประสบภัย ซึ่งหลายคนต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการอพยพ เช่น การห่วงทรัพย์สิน การดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือสัตว์เลี้ยง รวมทั้งความเชื่อมั่นว่าสถานการณ์จะไม่รุนแรง

ล่าสุด ตัวแทนรัฐบาลในการแถลงข่าวน้ำท่วมต้องโดนถล่มอีกคน!! คือ ภราดร ปริศนานันทกุล ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ต้องรับผิดชอบต่อการบริหารจัดการวิกฤต ในฐานะ ผอ.ศป.กฉ. เมื่อถูกสื่อมวลชนซักถามอย่างหนักว่าถึงเวลาที่รัฐบาลควรยอมรับความผิดพลาดในการบริหารจัดการสถานการณ์น้ำท่วมหรือยัง

“ภราดร” เลือกที่จะกดปิดไมโครโฟน และเดินออกจากห้องแถลงข่าวด้วยคำว่า “ขอบคุณ” เพียงสั้น ๆ โดยที่คำถามสำคัญยังไม่ได้รับคำตอบ การกระทำนี้ถูกตีความว่าเป็นการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อสาธารณชน และปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับความจริง

ดราม่า “ปิดไมค์” จุดชนวนให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากหลายฝ่าย ภคมน หนุนอนันต์ ส.ส.พรรคประชาชน ออกมาประณามการกระทำนี้ โดยชี้ว่าการ “ปิดไมค์” และ “ลุกหนีนักข่าว” คือ “สัญญาณการเดินหนีความจริง” นางสาวภคมนระบุว่าสถานการณ์ในพื้นที่ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ และเรียกร้องให้ภราดรในฐานะตัวแทนรัฐบาล ควรแสดงความรับผิดชอบด้วยการยอมรับความผิดพลาดในการประเมินสถานการณ์ แล้วเร่งเดินหน้าหาทางแก้ไขอย่างจริงใจ แทนที่จะปิดกั้นการสื่อสาร

ขณะที่สื่อมวลชนอาวุโส สุทธิชัย หยุ่น ได้แสดงความคิดเห็นกับกรณีที่เกิดขึ้นว่า สถานการณ์สร้างคน…และทำลายคนได้เช่นกัน! “จงเปิดไมค์สู้ อย่าปิดไมค์หนี! น้ำท่วมปาก?”

ทั้งนี้ หากจำกันได้ ก่อนจะเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก บทบาทของ “ภราดร” เคยได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจากการเป็นผู้คุมเกมในสภา ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่าเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่มีความเด็ดขาดและมีวุฒิภาวะ โดยภาพจำของเขาในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง สมาชิกมีการประท้วงอย่างดุเดือด จนกระทั่งภราดรต้องใช้อำนาจสูงสุดของประธานในการควบคุมการประชุม ด้วยการ “ลุกขึ้นยืนบนบัลลังก์” “ท่านสมาชิกครับ ทุกท่านนั่งลงครับ ไม่งั้นผมยืนขึ้น” ทำให้สถานการณ์สงบลงทันที

แต่เมื่อมาเกิดกรณี “ปิดไมค์” ทำให้ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ต่างกันสุดขั้ว จาก “MVP” ในฝ่ายนิติบัญญัติ มาถูกวิจารณ์ว่าไม่เป็นมืออาชีพเมื่อมาทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ทางการเมืองของเขา และความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งสองกรณีสะท้อนให้เห็นความผิดพลาดของการสื่อสารของรัฐบาล ที่ตามหลักสำคัญคือ “ต้องยอมรับและแสดงความเห็นอกเห็นใจก่อนเสมอ” การออกตัวว่า “รัฐบาลไม่ผิด” หรือการปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เป็นการสื่อสารที่ผิดหลักการขั้นพื้นฐานในการจัดการชื่อเสียงและภาวะวิกฤต ทำให้รัฐบาลถูกมองว่าขาดวุฒิภาวะ ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของรัฐบาลที่ต้องเร่งแก้วิกฤติการสื่อสารคู่ขนานไปกับวิกฤติปัญหาให้คลี่คลาย

#น้ำท่วม #ดราม่ารัฐบาล #ปิดไมค์หนี #วิกฤติสื่อสาร #สิริพงศ์ #ภราดร #รัฐบาลอนุทิน #อุทกภัย2568 #ข่าวการเมือง #ข่าวด่วน