น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคใต้ ยังหนักหนาสาหัส แม้จะล่วงเข้าสู่วันที่ 8 แต่ยังพบว่าวิกฤตยังคงอยู่ ทั้งพี่น้องประชาชน ได้รับผลกระทบ บาดเจ็บ เสียชีวิต ส่วนเรื่องทรัพย์สินนั้นไม่ต้องพูดถึง เมื่อน้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้รอบนี้ ถึงกับทำให้หลายพื้นที่ถึงขั้น ที่เรียกว่า ราพณาสูร
และยังมีชาวบ้านจำนวนมาก ที่ยังติดค้างอยู่ตามอาคาร บ้านเรือน หรือแม้แต่บนต้นไม้ ยังรอรับความช่วยเหลือ เนื่องจากหลายพื้นที่ ทั้งรถ เรือ และเจ๊ตสกี ยังเข้าไปไม่ได้ มวลน้ำขนาดใหญ่ยังท่วมในระดับสูง ประกอบกับฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง
พื้นที่ที่เสียหาย และมีการประเมินว่า “หนักหนา” คืออำเภอหาดใหญ่ จ.สงขลา มีความรุนแรงมาก อีกทั้งยังเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ มีการประเมินล่าสุดว่า น้ำท่วมรอบนี้ทำเศรษฐกิจในพื้นที่ 10 จังหวัดภาคใต้ เสียหายวันละ 1,500 ล้านบาท เนื่องจากเป็นจังหวัดที่อิงกับเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การค้าและการลงทุนของภาคใต้เป็นหลัก
มีผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการด้านน้ำ ด้านสิ่งแวดล้อม ให้ข้อมูลว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคใต้ครั้งนี้ มาจากสภาพภูมิประเทศ มาจากปัจจัยธรรมชาติ โดยเฉพาะหาดใหญ่ มีลักษณะลุ่มต่ำ เป็นเหมือนแอ่งกะทะ รองรับน้ำท่วม เมื่อมีฝนตกหนัก ในลักษณะ “เรน บอมบ์” ยิ่งกลายเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์
ด้วยสภาพภูมิประเทศ ที่กลายเป็นจุดอ่อน ที่อ.หาดใหญ่ อยู่ในพื้นที่ต่ำที่เป็นจุดรับน้ำจากหลายทิศทาง เช่น จากเขาคอหงส์, อ.นาหม่อม, อ.สะเดา ก่อนที่จะระบายลงสู่ทะเลสาบสงขลา ขณะที่การระบายน้ำเป็นไปด้วยความยากและช้า เพราะการไหลมารวมกันของน้ำจากหลายสายเข้าสู่คลองอู่ตะเภา ซึ่งเป็นคลองสายหลัก ประกอบกับช่วงที่เกิดน้ำทะเลหนุน (น้ำทะเลสูง) ทำให้การระบายน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลาเป็นไปได้ช้าลงมาก
ส่วนการผันน้ำผ่านคลอง แม้จะมีคลอง ร. (คลองภูมินาถดำริ) ซึ่งช่วยผันน้ำออกจากตัวเมือง แต่ปริมาณน้ำที่ตกลงมาในครั้งนี้มีปริมาณมากจนเกินศักยภาพที่คลองจะรับได้ทัน
จากปัญหาด้านภูมิประเทศ และสภาพอากาศที่ปรวนแปร ยังเกิดปัญหาซ้ำเมื่อ “หน่วยงานภาครัฐ” เองถูกตั้งคำถามทั้งเรื่องการ “แจ้งเตือนภัย” ไปยังพี่น้องประชาชน นั้นถูกต้องแม่นยำ มากพอที่จะทำให้ประชาชนในพื้นที่ “ย้ายออก” อพยพหนีน้ำท่วมได้ทันหรือไม่
ทั้งนี้ “รศ. ดร. เสรี ศุภราทิตย์” ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต และรองประธานมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ใช้ Facebook ส่วนตัว ระบุตอนหนึ่งว่า แม้จะมีการแจ้งเตือนภัย ล่วงหน้า แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือการ “ประเมิน”ความรุนแรงของสถานการณ์
“ เราไม่มีการประเมินความรุนแรงสถานการณ์เลยหรือ ? เราจึงเห็นพี่น้องติดอยู่บนหลังคา รถยนต์น้ำท่วม นักท่องเที่ยวติดค้างไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่มีข้อมูล ผู้ป่วยติดเตียง เด็ก และผู้ชรา ผู้เปราะบางร้องขอความช่วยเหลือเต็มไปหมด ยานพาหนะต่างๆไม่เพียงพอ ไม่มีศูนย์การจัดการความช่วยเหลือ
มีเพียงอาสามัครที่เสียสละรวมพลเข้ามา และที่สำคัญขาดการบังคับบัญชาการตอบสนองเหตุการณ์ เมื่อรู้ว่าน้ำจะยกตัวสูงขึ้นเกือบ 2 เมตร ในเขตพื้นที่เศรษฐกิจ ทำไมไม่ทำอะไรเลย ปล่อยประชาชนเผชิญชะตากรรม ผมได้แนะนำไปว่าต้องตีคันถนนเพื่อระบายน้ำออกก่อนเข้าพื้นที่เศรษฐกิจ ลดภาระ ลดความสูญเสีย ?” (25 พ.ย.68)
อย่างไรก็ดี ยังมีผู้เชี่ยวชาญ หลายคนยังมองว่าเมื่อเกิดปัญหา สิ่งที่ต้องมีคือผู้บัญชการเหตุการณ์ เพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ รวมถึงการสั่งการควรเป็นไปในลักษณะที่เรียกว่า “ซิงเกิ้ล คอมมานด์” คือผู้สั่งการโดยตรง
ทางด้านรัฐบาล เองมีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนหลังจากการประชุมครม. เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ด้วยการประกาศใช้พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ในพื้นที่จ.สงขลา ทั้งจังหวัด พร้อมทั้งตั้ง “ผู้บัญชาการเหตุการณ์” คือ พล.อ.อ. อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผบ.ทสส. แม้จะถูกวิจารณ์ว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นไปหลายวันแล้ว แต่รัฐบาล กลับเพิ่งมีการผู้บัญชาการเหตุการณ์
ผู้เชี่ยวชาญ หลายคน ต่างพากัน “ถอดบทเรียน” เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล ทั้งรัฐบาล ในวันนี้ ที่กำลัง “นับถอยหลัง” เข้าสู่โหมดเตรียมยุบสภาฯ จากนั้น “บทเรียน” จะไปสู่ “รัฐบาลใหม่” ซึ่งหาก “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้กลับมาเป็นนายกฯรอบ 2 บทเรียน ในวันนี้ อาจมีความหมาย ต่อรัฐบาลใหม่
แต่ดูเหมือนว่า จนถึงวันนี้ประชาชนเชื่อมั่น “ฝ่ายบริหาร” ลดน้อยลงทุกที ยิ่งเมื่อมองย้อนกลับไปถึงสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลาง โซนลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งวันนี้ ปภ.ยังระบุว่า ยังมีน้ำท่วมอยู่ รวม 11 จังหวัด ยิ่งตอกย้ำการบริหารจัดการของฝ่ายบริหารที่กำกับดูแลหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง มีหน้าที่ด้านน้ำโดยตรงว่ายังไม่ตอบสนอง สถานการณ์และปัญหาได้อย่างแท้จริง








