หาดใหญ่วิปโยค!! นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์พุ่งเป้าไปที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เรื่องการแสดงภาวะผู้นำที่ไม่เพียงแต่ถูกจับตาเรื่องประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงลักษณะการสื่อสารและรูปแบบการบัญชาการที่ทำให้เกิดภาพของผู้นำที่ “ลอยตัว” อยู่เหนือโคลนตมและความเสียหาย
กรณีที่เกิดขึ้นทำให้มีการย้อนหวนทวนความไปเมื่อครั้งที่ อนุทิน ได้กล่าวถึงการปราบปรามสแกมเมอร์และธุรกิจสีเทาในประเทศไทยว่า รัฐบาลได้เซ็น “เช็คเปล่า” เพื่อมอบอำนาจและการสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงาน
จากวาทกรรมดังกล่าว สื่อถึงการให้อำนาจและงบประมาณสนับสนุนอย่างเต็มที่และไม่จำกัดแก่เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่รับผิดชอบ แต่ถูกตีความจากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองว่าเป็นการขาดความรับผิดชอบและ “โยนภาระ” ให้ข้าราชการ
แม้ว่ารัฐบาลจะประกาศให้เป็น “วาระแห่งชาติ” และมีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อดำเนินการ แต่การวิจารณ์ก็ยังคงมีอยู่ ด้วยถูกมองว่าขาดความจริงใจและภาวะผู้นำ ปัญหา “คนเทา” ในรัฐบาล ขาดนโยบายที่เป็นรูปธรรม และการตีเช็คเปล่า
มาถึงกรณีน้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่ ในฐานะผู้รับผิดชอบสูงสุดในการบริหารจัดการภัยพิบัติ แถมยังสวมหมวกอีกใบเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย การลงพื้นที่ของ “อนุทิน” ถูกตีความว่าเป็นการเน้นการ “มาให้กำลังใจ” มากกว่าการ “แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่ลึกซึ้ง การแสดงออกที่เน้นการมอบถุงยังชีพและการ “ทำอาหาร” และการให้คำมั่นสัญญาอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถล้างภาพลักษณ์ของผู้นำที่ “ลอยตัว” ได้
อีกประเด็นที่ตอกย้ำภาพลักษณ์การ “ลอยตัวอยู่เหนือน้ำ” คือความสับสนในการบัญชาการเหตุการณ์ ในสถานการณ์วิกฤติ การขาดความต่อเนื่องและความมีประสิทธิภาพในการสั่งการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ เป็นข้อบ่งชี้ว่า “หนู” กำลัง “ลอยน้ำอย่างอิสระ” และไร้ทิศทาง
มีการตั้งข้อสังเกตและวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการมอบหมายอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) แต่มีรายงานว่าผู้นำบัญชาการไม่ได้อยู่หน้างานอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้เกิดช่องว่างและความขัดแย้งในการสั่งการ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่
และนั่นอาจเป็นเหตุผลทำให้นายกฯ อนุทิน ลงพื้นที่หาดใหญ่อีกครั้งในวันที่ 26 พฤศจิกายน ซึ่งต้องติดตามว่าจะสามารถกอบกู้ภาพลักษณ์กลับคืนมาได้มากน้อยแค่ไหน
แม้ว่าวิกฤตน้ำท่วมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำซาก แต่ความเสียหายที่รุนแรงและผลกระทบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล แม้จะยังไม่มีผลสำรวจความคิดเห็นหรือโพลในพื้นที่ภาคใต้ออกมาในห้วงเวลานี้ก็ตาม
เพราะต้องไม่ลืมว่า วิกฤตน้ำท่วมเป็นปัจจัยสำคัญที่เคยส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของผู้นำไทยในอดีตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องเผชิญกับมหาอุทกภัยในปี 2554 แม้ในขณะนั้นจะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหา แต่ความเสียหายที่กว้างขวางและยาวนาน รวมถึงการสื่อสารที่ผิดพลาดและคำวิจารณ์เรื่องความไม่เป็นมืออาชีพ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเชื่อมั่นและการบริหารจัดการของรัฐบาลลดลงอย่างมาก
ในขณะที่วิกฤติหาดใหญ่ในปัจจุบันเกิดขึ้นภายใต้ผู้นำที่รับผิดชอบโดยตรงต่อกระทรวงมหาดไทย การลอยตัวของผู้นำในวิกฤติครั้งนี้จึงถูกมองด้วยมาตรฐานที่สูงและเข้มข้นในแง่ของความคาดหวังด้านภาวะผู้นำอย่างปฏิเสธไม่ได้
การเดินทางไปเยือนหาดใหญ่รอบสองในสถานการณ์วิกฤติจึงเป็นโอกาสสำคัญที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าจะยังคงเลือกที่จะ “ลอยตัว” เพื่อรักษาภาพลักษณ์ทางการเมืองต่อไป หรือจะตัดสินใจด้วยความรับผิดชอบอย่างแท้จริง และบัญชาการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างด้วยความชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อกอบกู้ศรัทธาและการแสดงภาวะผู้นำที่ประชาชนเชื่อมั่นได้ในยามที่บ้านเมืองประสบภัยพิบัติอย่างแท้จริง
#หาดใหญ่น้ำท่วม #อนุทิน #วิกฤติหาดใหญ่ #ลอยตัวเหนือปัญหา #การเมืองไทย #วิจารณ์รัฐบาล #เช็คเปล่า #ธรรมนัส #น้ำท่วมภาคใต้








