สองเด้งสะเทือนการเมือง! “ทักษิณ” เจอมรสุมภาษีหมื่นล้านพ่วงคดี 112 จุดกระแสเหยื่อการเมืองกลับมาปะทุอีกครั้ง
พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ที่ซวยซ้ำซวยซ้อนกับ 2 เหตุการณ์ใหญ่ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 หลังจากรู้ข่าวว่า อัยการสูงสุดจะยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 แล้ว ศาลฎีกายังสั่งให้จ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ป 1.7 หมื่นล้าน!!
คดีนี้เป็นเรื่องที่ กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจาก “ทักษิณ” กรณีการขายหุ้น บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับกลุ่มบริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ของสิงคโปร์เมื่อปี 2549 เป็นเงินประมาณ 1.76 หมื่นล้านบาท
ทักษิณได้ยื่นฟ้องกรมสรรพากรเพื่อขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีดังกล่าว โดยศาลภาษีอากรกลาง (ชั้นต้น) และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ (ศาลอุทธรณ์) พิพากษาให้ทักษิณชนะคดี
แต่ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร ได้มีคำพิพากษาพิพากษากลับคำตัดสินของศาลล่างทั้งสอง โดยให้เหตุผลว่า การประเมินภาษีของกรมสรรพากรชอบด้วยกฎหมาย
ผลของคำพิพากษาของศาลฎีกาส่งผลให้ “ทักษิณ” ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรียกเก็บภาษีของกรมสรรพากรตามขั้นตอน ซึ่งรวมเงินที่ต้องจ่ายทั้งสิ้น 1.76 หมื่นล้านบาท
โดยศาลชี้ว่า การให้บุคคลอื่น เช่น บุตร ถือหุ้นแทนเพื่อเลี่ยงข้อกฎหมายด้านการเมือง เป็นธุรกรรมที่ขาดคุณธรรมทางภาษีและมิชอบด้วยกฎหมาย และมีผลให้ทักษิณเป็นผู้ต้องรับผิดชอบภาษีในฐานะผู้มีเงินได้
ส่วนคดีความผิดตามมาตรา 112 นั้น ศาลชั้นต้นยกฟ้องไป โดยเห็นว่าไม่ได้กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และวิญญูชนทั่วไปไม่อาจเข้าใจว่าพาดพิงสถาบัน ในขณะที่หลักฐานไม่สมกับภาระการพิสูจน์ และพยานโจทก์มีอคติทางการเมือง
การเผชิญหน้ากับคำพิพากษาศาลฎีกาและคำสั่งทางกฎหมายทั้ง 2 เรื่องนั้น ส่งผลกระทบทั้งแง่ลบและแง่บวกกับ “ทักษิณ”
ในด้านลบตอกย้ำภาพความไม่ชอบมาพากลของความร่ำรวย คำสั่งให้จ่ายภาษี 1.76 หมื่นล้านบาท ยืนยันความชอบด้วยกฎหมายของการประเมินภาษีของกรมสรรพากร แม้ว่าคดีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเกือบสองทศวรรษที่แล้ว แต่คำตัดสินของศาลฎีกาถือเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ฝ่ายตรงข้ามใช้โจมตีทักษิณมาโดยตลอด คือการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว และการหลีกเลี่ยงกฎหมาย ซึ่งทำลายความชอบธรรมทางศีลธรรมในการกลับมาเล่นการเมือง
ที่สำคัญ คือภาระทางการเงินที่ใหญ่หลวง มูลค่าภาษีที่ต้องจ่าย 1.76 หมื่นล้านบาท ถือเป็นภาระทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบต่อทรัพย์สิน แต่ยังกระทบต่ออำนาจการต่อรองและขีดความสามารถในการสนับสนุนทางการเมืองของเขาในอนาคต
ในขณะที่คดีมาตรา 112 เป็นชนักปักหลังด้วยคดีอาญา และเป็นข้อหาที่รุนแรง การที่อัยการสูงสุดตัดสินใจยื่นอุทธรณ์ ทำให้คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด ทำให้ทักษิณยังมีความเสี่ยงทางกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ทำให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองต้องอยู่ในกรอบจำกัด และเป็นปัจจัยที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถใช้โจมตีเพื่อสร้างความสั่นคลอนให้กับพรรคเพื่อไทยได้ทุกเมื่อ
แต่อีกด้านหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลลัพธ์ทางกฎหมายบางอย่างได้กลายเป็นแรงส่งให้สถานะทางการเมืองของทักษิณ
ฝ่ายที่สนับสนุนทักษิณและพรรคเพื่อไทยสามารถใช้คำพิพากษานี้เป็นหลักฐานในการตอกย้ำเรื่องเล่าว่าทักษิณ “บริสุทธิ์” และ “ถูกกลั่นแกล้ง” ทางการเมืองมาโดยตลอด ทำให้สามารถเรียกความเห็นใจและเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานเสียงผู้สนับสนุน
แม้จะโดนคดีหนักทั้งสองเด้ง แต่ทักษิณยังคงเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการเมืองไทยสูงที่สุดคนหนึ่ง ทุกความเคลื่อนไหวทางกฎหมายของเขาถูกจับตา การที่เขากลับมาแล้วต้องเผชิญหน้ากับวิบากกรรมทางกฎหมาย ขับเน้นให้ทักษิณพลิกบทกลายเป็น “เหยื่อทางการเมือง”
คำสั่งให้จ่ายภาษีมูลค่ามหาศาลในประวัติศาสตร์ และการที่ต้องต่อสู้ในคดี ม.112 ต่อไป สามารถถูกนำไปใช้เพื่อปลุกเร้าฐานเสียงว่าเขายังคงเป็น “เหยื่อของชนชั้นนำหรือกลุ่มอำนาจเก่า”
สถานะทางการเมืองของทักษิณภายใต้แรงกดดัน “สองเด้ง” จึงเป็นสถานะที่เปราะบางแต่ทรงพลัง วิบากกรรมของทักษิณอาจกลายเป็นกระดานหก พลิกฟื้นพรรคเพื่อไทย ในทางกลับกันก็เป็นแรงกดทับให้คนในตระกูลชินวัตรต้องใคร่ครวญอย่างหนัก หากจะส่งใครลงสู่สนามการเมืองเป็นคิวต่อไป
#ทักษิณ #คดี112 #ชินคอร์ป #ภาษีหมื่นล้าน #ศาลฎีกา #เพื่อไทย #การเมืองไทย #ข่าวด่วน #BreakingNews







