วันที่ 27 ธ.ค.68 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 พลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้อำนวยการศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ให้สัมภาษณ์และชี้แจงต่อสื่อมวลชน ณ บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี โดยเน้นย้ำถึงจุดยืนของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พลอากาศเอก ประภาส ระบุว่าสถานการณ์ที่ผ่านมามีความขัดแย้งสะสมและขยายตัวจากการสู้รบในพื้นที่ ซึ่งกองทัพไทยจำเป็นต้องใช้กำลังทางทหารเป็นหนทางสุดท้ายเพื่อปกป้องอธิปไตยตามสิทธิ์ภายใต้มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) โดยยืนยันว่าการปฏิบัติการของไทยทั้งหมดมีหลักฐานชัดเจนและเป็นไปตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ เพื่อความโปร่งใสและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาคมโลก ศูนย์แถลงข่าวร่วมฯ ได้จัดทำข้อมูลในรูปแบบคำถาม-คำตอบ (Q&A) ทั้งหมด 31 ข้อ ซึ่งรวบรวมจากประเด็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและข้อสงสัยของประชาชน โดยจะมีการแปลเป็น 16 ภาษาเพื่อส่งไปยังสถานทูตไทยทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและจุดยืนของไทยในการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี
พลอากาศเอก ประภาส กล่าวว่า การใช้กำลังทางทหารในครั้งนี้ถือเป็นหนทางสุดท้ายที่เลือกใช้เพื่อปกป้องอธิปไตยตามสิทธิ์ภายใต้มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ และการดำเนินการทั้งหมดของประเทศไทยอยู่ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ซึ่งมีหลักฐานพร้อมชี้แจงต่อเวทีนานาชาติ นอกจากนี้ในแถลงการณ์ร่วมยังได้กำหนดกลไกเพื่อลดการยั่วยุ โดยศูนย์แถลงข่าวร่วมจะประสานงานอย่างใกล้ชิดกับทางกัมพูชาผ่านสถานทูตและผู้ช่วยทูตทหาร เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข้อเท็จจริงและป้องกันไม่ให้ข่าวบิดเบือนมาขยายผลความขัดแย้งให้รุนแรงยิ่งขึ้น
"การหยุดยิงนั้น เรากำหนดระยะเวลาสังเกตการณ์เพิ่มอีก 72 ชั่วโมง เพื่อยืนยันว่าการหยุดยิงเกิดขึ้นจริงด้วยความจริงใจและต่อเนื่อง หากทุกอย่างเรียบร้อยตามแถลงการณ์ร่วม เราจะส่งตัวทหารกัมพูชาทั้ง 18 นายกลับไปตามหลักสากล แต่หากมีการละเมิดข้อตกลงหลังจากนี้ กองทัพไทยก็มีความชอบธรรมและมีความพร้อมที่จะใช้มาตรการป้องกันตนเองในทุกรูปแบบเพื่อคุ้มครองประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ผมอยากสื่อสารไปถึงประชาคมโลกว่าประเทศไทยเปิดทางสู่สันติภาพอย่างจริงใจ แต่เราจะไม่ลดทอนความรับผิดชอบในการปกป้องประชาชนและประเทศชาติ เพราะสันติภาพที่ยั่งยืนต้องเกิดจากการปฏิบัติจริงและความรับผิดชอบร่วมกัน"
นอกจากนี้ พลอากาศเอก ประภาส ยังกล่าวถึงการดูแลความปลอดภัยของประชาชนว่า หากผ่านพ้นช่วงการประเมินสถานการณ์และยืนยันได้ว่าไม่มีภัยคุกคามในพื้นที่แล้ว จะเริ่มทยอยให้ประชาชนจากศูนย์พักพิงกลับเข้าสู่ที่พักอาศัย พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทางกัมพูชาแสดงความจริงใจด้วยการอำนวยความสะดวกและปล่อยตัวคนไทยที่ยังติดค้างอยู่ในกัมพูชาให้เดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัยผ่านช่องทางของกระทรวงการต่างประเทศ โดยย้ำว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน แต่เกิดจากการตัดสินใจในระดับนโยบาย ซึ่งไทยหวังว่าความสงบสุขจะกลับคืนสู่พื้นที่ชายแดนโดยเร็วที่สุดผ่านกลไกการสื่อสารและสายด่วน (Hotline) ที่จัดตั้งขึ้นร่วมกัน








