เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.68 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อนว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เคยมีบทเรียนการจัดการเลือกตั้งพิเรนทร์แบบพิเศษมาแล้ว สุดท้ายกลายเป็นเลือกตั้งโมฆะ และ กกต.ถูกตัดสินจำคุก
“คุณแสวง บุญมี (เลขาธิการ กกต.) ไม่รู้จะคิดวิธีพิเศษอย่างไร แต่ขอให้ดูประวัติศาสตร์การเลือกตั้งในอดีต เพราะระหว่างพิเศษกับพิเรนทร์นั้นมันไม่ห่างไกลกันเท่าไร ดังนั้น (ถ้าสงคราม) ไม่จบก็ไม่ควรหาเรื่อง"
อีกทั้งย้ำว่า การเลือกตั้งแบบพิเศษ เคยมีบทเรียนมาแล้วในปี 2549 โดยหันหลังออกคูหาเลือกตั้งจนศาล รธน.ตัดสินให้ขัด รธน.และเป็นการเลือกตั้งโมฆะ แล้วลามไปสู่ กกต.ชุดนั้นต้องติดคุกตามมาด้วย
นายจตุพร เสนอว่า ถ้า กกต.เลือกหนทางเลือกตั้งระหว่างสงครามชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่ยุติแล้ว ก็ควรคุยกับพรรคการเมืองให้เข้าใจถึงการหาเสียงมีผลกระทบกระเทือนกับทหารนักรบของชาติหรือไม่ อย่างไร และจะทำลายขวัญประชาชนชายแดนหรือไม่
อีกอย่าง ถ้าฝ่ายความมั่นคงบอกสงครามจะจบภายในสิ้นปี 2568 แล้ว กกต.จะรีบเปิดรับสมัครเลือกตั้งในวันที่ 27-31 ธ.ค. นี้ทำไม สิ่งสำคัญควรรอให้สิ้นสงครามก่อนจึงรับสมัครเลือกตั้งไม่ดีกว่ากันหรือ?
“ถ้าบ้านเมืองไม่สงบกันจริงๆ แล้ว คุณแสวง เอาไม่อยู่หรอก แล้วที่สุดก็ไปขยายเวลาเลือกตั้ง ที่บอกว่ามีระเบิด มีสงคราม สามารถจัดการเลือกตั้งได้ทั้งนั้น ขี้โม้ ถ้ามีสงครามจริงจะจัดเลือกตั้งได้อย่างไร แค่จัดกันแบบปัจจุบันก็มีปัญหาอยู่แล้ว ถ้าปราศรัยหรือดีเบต ถกเถียงความเห็นออกโททัศน์ แค่เรื่องไทย-กัมพูชา ก็เห็นต่างกันอยู่แล้ว และคนชายแดนจะใช้ดุลพินิจตัดสินใจอย่างเสมอภาคกับคนที่อื่นๆ ได้อย่างไร”
ส่วนการทำประชามติแก้ รธน.พร้อมเลือกตั้งนั้น สิ่งที่น่าห่วงคือ กกต.จะวางกรอบอย่างไร ถ้าพรรคการเมืองหาเสียงโดยอธิบายถึงการแก้ รธน.กันแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงการชี้นำไม่ออก ดังนั้น จึงแยกการหาเสียงกับการณรงค์แก้ รธน.ออกจากกันได้ยาก
พร้อมทั้งกล่าวถึงปัญหาการเมืองกับวงศ์วานเครือญาติว่า ที่ผ่านมาการเมืองหายนะมาจากระบบเครือญาติกันทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้าพรรคการเมืองใดได้เข้าไปบริหารประเทศต้องสัญญาจะไม่มีเครือญาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากยังใช้วิธีการเดิมๆ ผลลัพธ์ก็จะจบลงแบบเดิมๆ เหมือนที่เคยจบกันมา
"คำว่า 3 นามสกุลหลักที่ว่า ชินดาวงศ์ นั้น วันนี้สลัดกันไม่พ้น ซึ่งจะเห็นผลปลายทางกันอยู่แล้ว โดยการเมืองแบบนี้ เพียงแต่มีความเชื่อว่า เป็นหนทางสู่ความสำเร็จ แต่หลังจากนั้นจะฉิบหายทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยนเลย”
นายจตุพร ไม่สนใจว่า นามสกุลแบบรวมวงศ์วานเครือญาตินี้จะประสบความสำเร็จอย่างไร เพราะประเทศไทยให้โอกาสมามากต่อมากแล้ว แต่ที่มากกว่านั้นคือ จะเดินย้ำแบบเดิมหรือไม่ ถ้าเป็นแบบเดิมแล้ว ท้ายที่สุดหนีสัจธรรมไม่พ้นว่า มาแบบไหนก็ไปแบบนั้น
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นห้องทดลองการบริหารการเมือง และคนมีความรู้สูงไม่ได้หมายถึงจะทำให้การบริหารสำเร็จ ดังนั้น จึงต้องได้คนที่เป็นมืออาชีพ แม้คนเราไม่ได้รู้ทุกเรื่อง แต่ต้องรอบรู้ในเรื่องการบริหารแผ่นดินหรือการบริหารประเทศ โดยบทเรียนที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า ถ้าไม่พร้อมแล้ว เมื่อเผชิญปัญหาบ้านเมืองยามวิกฤต ผลลัพธ์จะเป็นอย่างที่เห็นกันอยู่ และที่สุดจบไม่สวยสักคน”
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการขายน้ำมันให้กัมพูชาในช่วงทำสงครามกับไทยว่า รัฐต้องเปิดเผยรายชื่อออกมา เพราะช่วงสงครามจะขายเชื้อเพลิงให้อีกฝ่ายต้องถูกรุมสาปแช่งกับการแสวงหาแต่ความร่ำรวย ไม่คิดถึงความเป็นชาติซึ่งเป็นเรื่องใหญ่
"การขายน้ำมันเถื่อนนั้นก็พอรู้กันอยู่ แต่ในยามสงคราม กองทัพมีมาตรการป้องกันการขายเชื้อเพลิงจึงน่าสนใจว่า ยังมีคนแบบนี้อีกด้วยเหรอ ที่ไปเพิ่มกำลังให้คู่ต่อสู้ ซึ่งไม่ควรทำ แม้อ้างว่าทำสัญญากันไว้ก็ฟังไม่ขึ้น ดังนั้น คนไทยต้องได้รู้ว่า ในยามสงครามมีพวกหน้าไหนไปขายน้ำมันให้กัมพูชา”







