วันที่ 18 ธ.ค. 2568 ที่อาคารรัฐสภา ในรายการมองรัฐสภา ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา ได้มีการเปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความคืบหน้าการพิจารณาศึกษาปัญหาเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา โดย ผศ.ดร.นพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เพื่อแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เปิดเผยว่า จากการศึกษาพิจารณา คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้มีมติเอกฉันท์ให้เสนอรัฐบาลยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2544 เนื่องจากพบว่ากัมพูชามีเจตนาไม่ปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวและมีการละเมิดอธิปไตยไทยอย่างชัดแจ้ง ผลการศึกษาชุดนี้ถือเป็นทิศทางและความเห็นสำคัญของวุฒิสภาที่จะถูกส่งต่อไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
ผศ.ดร.นพดล กล่าวว่า การศึกษาเรื่อง MOU 2544 ถูกพิจารณาอย่างเข้มข้น เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาไม่มากนักเมื่อเทียบกับ MOU 2543 แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเขตแดนทางทะเลและผลประโยชน์ของชาติ ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้ใช้เวลาพิจารณาศึกษาและรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้านจากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ นักโบราณคดี, เจ้ากรมแผนที่ทหาร, และอดีตทหารเรือที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้มาอย่างยาวนานกว่า 10-20 ปี โดยยึดถือประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และพยายามให้รายงานฉบับนี้เป็นรายงานครั้งสุดท้ายที่ทุกรัฐบาลสามารถนำไปตัดสินใจได้ทันทีโดยไม่ต้องศึกษาซ้ำอีก
ประเด็นปัญหาหลักที่นำไปสู่การเสนอให้ยกเลิก MOU 2544 คือการที่กัมพูชาเจตนาละเมิดข้อตกลงอย่างรุนแรงและเห็นได้ชัดเจน MOU 2544 กำหนดให้มีการดำเนินการ 2 ส่วนไปพร้อมกัน คือ การแบ่งเขตอธิปไตยทางทะเลเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือ (ประมาณ 10,000 ตารางกิโลเมตร) และการหาผลประโยชน์ร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนทางใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ (ประมาณ 16,000 ตารางกิโลเมตร) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีก๊าซธรรมชาติและปิโตรเลียม ทว่า ทางกัมพูชากลับมีความพยายามที่จะขอแบ่งผลประโยชน์เฉพาะพื้นที่ทับซ้อนทางใต้ และเสนอให้คงพื้นที่อาณาเขตทางเหนือไว้ (หมายถึงไม่จัดทำเขตแดน)
"บังเอิญว่าในเรื่องของกฎหมายทางทะเลระดับระหว่างประเทศนั้น ถ้าจะมีการยกเลิก MOU หรือข้อตกลงนี้ ซึ่งเราได้เรียนเชิญอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศมาแล้ว และยืนยันว่า MOU ทั้ง 2 ฉบับนี้เป็นสนธิสัญญาไปแล้ว จึงต้องไปศึกษาข้อกฎหมายตามอนุสัญญากรุงเวียนนา ซึ่งมีข้อหนึ่งที่บอกว่า ถ้าจะยกเลิก ก็มีเหตุแห่งการยกเลิก เช่น คู่กรณีได้ละเมิดข้อตกลงนั้นอย่างรุนแรงและเห็นได้ชัดเจน ซึ่งกรณีของ MOU 2544 นี้ กัมพูชาได้ละเมิดชัดเจนมาก"
"จากเอกสารหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร กัมพูชาได้ระบุอย่างชัดเจนว่าขอแบ่งผลประโยชน์ 50-50 ในพื้นที่ทับซ้อนด้านล่าง แต่ไทยยอมไม่ได้ เพราะถ้าลากเส้นตามมาตรฐานสากลจากเกาะกูดแล้ว พื้นที่ทับซ้อน 16,000 ตารางกิโลเมตรนี้ จะเหลือพื้นที่น้อยมาก ซึ่งนักวิชาการจากต่างประเทศเคยลากเส้นตามมาตรฐานสากลแล้วพบว่าไทยได้เปรียบมากกว่า"
ผศ.ดร.นพดล กล่าวว่า การละเมิดที่สำคัญที่สุดคือการที่กัมพูชาลากเส้นอาณาเขตทางทะเลเหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือโดยไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเส้นดังกล่าวลากมาเฉียดเกาะกูด ซึ่งเป็นอาณาเขตของไทยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) ตามสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส (ผู้ปกครองอินโดจีนในขณะนั้น) ตามหลักมาตรฐานสากลแล้ว เกาะกูดมีเขตทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล และเขตเศรษฐกิจจำเพาะที่ลากออกไปได้ถึง 200 ไมล์ทะเล ซึ่งทำให้กัมพูชาไม่สามารถลากเส้นมาพาดผ่านอาณาเขตของไทยได้
ปัญหา MOU 2544 คือเครื่องมือที่มีปัญหา ทำให้การเจรจาไม่คืบหน้ามาเป็นเวลา 24 ปีแล้ว แม้ว่าการสำรวจเขตแดนทางบกภายใต้ MOU 2543 จะคืบหน้าไปแล้วกว่า 60% การปล่อยให้ MOU 2544 คงอยู่ต่อไปส่งผลให้ประเทศไทยเสียประโยชน์และเสียโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เพราะพื้นที่ทับซ้อนใต้เส้น 11 องศาเหนือ มีแหล่งก๊าซธรรมชาติและปิโตรเลียมตามการสำรวจของ US Geological Survey มูลค่าของทรัพยากรเหล่านี้ ณ ปัจจุบันถูกประเมินไว้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านล้านบาท หากมีการแบ่งผลประโยชน์แบบ 50:50 ตามที่กัมพูชาเสนอ ไทยจะเสียเงินไปถึง 5 ล้านล้านบาท การที่ MOU ยังค้างคาอยู่ทำให้ไม่สามารถนำทรัพยากรเหล่านี้ขึ้นมาใช้ได้
"ถ้าปล่อยไว้เฉยๆ ใต้ละติจูด 11 องศาเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อน มันมีก๊าซธรรมชาติและปิโตรเลียมอยู่ โดยการประเมินของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักวิชาการและหน่วยงานด้านพลังงาน ประเมินว่ามูลค่า ณ วันนี้ ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านล้านบาท ดังนั้น เมื่อแบ่ง 50:50 ตามที่ว่า กัมพูชาจะได้ไปถึง 5 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเงินมหาศาล ขณะที่งบประมาณของไทยปีละประมาณ 3 ล้านล้านบาท ดังนั้น เราเสียประโยชน์ทางเศรษฐกิจและเสียโอกาสในการที่จะนำเอาแก๊สธรรมชาติและปิโตรเลียมขึ้นมาใช้"
ผศ.ดร.นพดล กล่าวว่า คณะกรรมาธิการมั่นใจว่าการยกเลิก MOU 2544 เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศไทย และจะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการดำเนินการตามหลักสากล แนวทางแก้ไขที่เสนอต่อรัฐบาลคือการเจรจาเพื่อยกเลิก MOU ภายใต้ความยินยอมของทั้งสองประเทศตามอนุสัญญากรุงเวียนนา และหันไปใช้กฎหมายสากลเป็นหลักปฏิบัติแทน หากการเจรจาล้มเหลว แนวทางที่สองคือการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศ
คณะกรรมาธิการยืนยันว่าไม่ต้องกังวลว่ากัมพูชาจะสามารถลากไทยไปขึ้นศาลโลก (ICJ) ได้ เนื่องจากไทยได้ถอนตัวจากการเป็นภาคีของศาลโลกตั้งแต่ปี 2505 แล้ว ทำให้ศาลโลกไม่มีสิทธิ์บังคับให้ไทยขึ้นศาลได้
"เรื่องศาลโลกก็ตัดไป เรื่องที่สองคือการไปที่ศาลกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ (ITLOS) ซึ่งเป็นศาลที่ไม่ใช่ศาลโลก ทั้งไทยและกัมพูชาอยู่ภายใต้รัฐอำนาจของศาลนี้ เพราะศาลจะยึดตามอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทางทะเล (UNCLOS 1982) เมื่อนำไปถึงตรงนั้นแล้ว การแบ่งเขตอาณาบริเวณก็ต้องเป็นไปตามหลักสากล ซึ่งกรรมาธิการชุดนี้อยากให้ไปตรงนี้อยู่แล้ว"
การใช้มาตรฐานสากลผ่านศาล ITLOS จะทำให้เส้นที่กัมพูชาลาก ซึ่งผิดหลักมาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะการเฉียดเกาะกูด ไม่สามารถใช้ได้ ไทยมีความมั่นใจสูงที่จะชนะคดี เนื่องจากเส้นที่ไทยลากในปี 2516 นั้นเป็นไปตามมาตรฐานสากล นอกจากนี้ การยกเลิก MOU 2544 ยังเป็นการปิดช่องว่างที่กัมพูชาเคยนำไปใช้บิดเบือนในเวทีโลกเพื่ออ้างสิทธิ์เหนือเกาะกูด
ผศ.ดร.นพดล กล่าวว่า นอกจากกระบวนการทางกฎหมายแล้ว ข้อเสนอแนะยังรวมถึงการใช้มาตรการทางนาวิกานุภาพ เพื่อกดดันกัมพูชา เช่น การควบคุมเรือสินค้าเข้าออก ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่น่าจะมีน้ำหนักในการกดดันให้กัมพูชากลับมาเจรจาต่อรองในประเด็นปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาโดยรวม การยกเลิก MOU 44 อาจเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เพื่อให้กัมพูชาตระหนักว่าสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้ใน MOU จะไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
แม้ว่ารัฐบาลรักษาการจะไม่สามารถจัดทำประชามติเรื่อง MOU ได้ตามคำแนะนำของคณะกรรมการกฤษฎีกาเนื่องจากอาจผูกพันรัฐบาลใหม่ แต่รัฐบาลก็ยังมีสิทธิ์ที่จะพิจารณาดำเนินการยกเลิก MOU 44 ตามข้อเสนอของวุฒิสภาได้ หากเห็นว่ารายงานการศึกษาและข้อเสนอแนะนี้มีความรอบคอบและมีข้อมูลครบถ้วน สำหรับ MOU 2543 ซึ่งมีรายละเอียดมากกว่านั้น ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษา แต่มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 90% และคาดว่าจะมีการวิเคราะห์เพิ่มเติมหลังจากเหตุการณ์ปะทะชายแดนที่เกิดขึ้น








