นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ "เรื่องใหญ่รายวัน" ทางช่อง One 31 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 ถึงกรณีการส่งออกน้ำมันของบริษัทเอกชนไปยังประเทศกัมพูชา ในช่วงที่สถานการณ์ความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชากำลังตึงเครียด
นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวสร้างความสับสนอย่างยิ่ง เนื่องจากรัฐบาล โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รถขนน้ำมันที่จอดรอที่ด่านช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี เป็นการส่งออกไปยัง สปป.ลาว และไม่สามารถสกัดกั้นได้ เนื่องจากไม่พบหลักฐานว่ามีการส่งต่อไปยังกัมพูชา ซึ่งขัดแย้งกับคำสั่งของกองทัพไทยที่ประกาศปิดกั้นอ่าวไทย เพื่อสกัดน้ำมันและยุทธปัจจัยที่อาจลำเลียงเข้าสู่กัมพูชา
นายพีระพันธุ์ ตั้งคำถามถึงรัฐบาลกับกองทัพควรเป็นหนึ่งเดียวกันหรือไม่ พร้อมย้ำว่า สถานการณ์ชายแดนในขณะนี้ไม่ปกติ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการปะทะตลอดแนวชายแดนและใช้อาวุธรุนแรงในระดับนี้มาก่อน รัฐบาลจำเป็นต้องสันนิษฐานในทางเลวร้ายไว้ก่อน โดยเฉพาะกรณีการส่งออกน้ำมันผ่าน สปป.ลาว ซึ่งมีจุดเชื่อมต่อกับกัมพูชา รัฐบาลจึงควรสกัดกั้น ตรวจสอบปลายทาง ผู้รับ และความเป็นไปได้ในการส่งต่ออย่างละเอียด
นายพีระพันธุ์ ระบุด้วยว่า สถานการณ์ปัจจุบันไม่ต่างจากภาวะสงคราม ซึ่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 122 บัญญัติไว้ชัดว่า ผู้ใดอุปการะหรือช่วยเตรียมการรบให้ข้าศึกถือว่ามีความผิด และหากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจหรือทหาร ไม่ดำเนินการอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 พร้อมตั้งคำถามว่า เหตุใดผู้มีอำนาจหน้าที่จึงไม่ใช้กฎหมายในการปกป้องประเทศและชีวิตของทหาร
สำหรับกรณีการขายหรือส่งไฟฟ้าไปยังกัมพูชา นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ก่อนการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ตนเป็นผู้เสนอคณะรัฐมนตรีให้ยุติการขายไฟฟ้าแล้ว หากยังมีการดำเนินการอยู่ นอกจากจะผิดมติ ครม. ยังเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา 122 โดยขอให้รัฐบาลนำเอกสารมายืนยันว่าการดำเนินการยุติแล้วจริงหรือไม่ ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบคือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สังกัดกระทรวงมหาดไทย
ส่วนกรณีที่ปลัดกระทรวงพลังงานชี้แจงว่า การส่งออกน้ำมันไป สปป.ลาว ในปริมาณมากเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูแล้ง นายพีระพันธุ์ ตั้งข้อสงสัยว่า จะเชื่อคำชี้แจงดังกล่าวได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรในพื้นที่กลับระบุว่าเป็นสถานการณ์ที่ผิดปกติ พร้อมตั้งคำถามว่า ควรเชื่อใคร ระหว่างเจ้าหน้าที่หน้างานกับผู้บริหารที่อยู่เบื้องหลัง
ด้านการข่าวต่างประเทศ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศทำงานดีขึ้นกว่าสมัยก่อน แต่ยังไม่เพียงพอและไม่ทันเกมกัมพูชา ที่มีการวางแผนให้ครบทุกมิติ ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และการค้าระหว่างประเทศ พร้อมกล่าวว่า "คนโกงมักเตรียมการล่วงหน้าเสมอ"
นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ของกัมพูชาที่เชื่อมโยงกับประเทศจีน ว่าเป็นการ "ขาย" หรือ "ให้" เนื่องจากอาวุธดังกล่าวมีมูลค่าสูง และตั้งคำถามถึงแหล่งที่มาเงินทุนของกัมพูชา ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าไทยอย่างมาก
นายพีระพันธุ์ เน้นย้ำว่า "รัฐบาลไทยต้องเตรียมการล่วงหน้าและสนับสนุนกองทัพอย่างเต็มที่ เพราะการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ไม่สามารถทำได้ทันที หากยังปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ อาจเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว"







