การเมืองทั่วไป

‘จาตุรนต์’ ชี้ชะตาอนาคตประเทศ ประชามติรัฐธรรมนูญวันเลือกตั้ง คือ “ต้นทุนการเมือง” สู่ฉบับใหม่

แชร์ข่าว

วันที่ 16 ธ.ค.68 นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang ระบุว่า...

การทำประชามติที่จะทำพร้อมวันเลือกตั้งที่จะถึงนี้ จะมีคำถามคือ “ประชาชนจะเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่?”

หากประชาชนเห็นชอบด้วยเสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิ์ จะมีความสำคัญอย่างมาก

ข้อแรก คือทำให้รัฐสภาสามารถริเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ โดยไม่มีข้อขัดข้องตามรัฐธรรมนูญอีกต่อไป

ข้อที่สอง คือเป็น “ต้นทุนทางสังคมและทางการเมือง” เพราะข้อสรุปว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นชอบ จะเป็นทั้งแรงเสริม แรงส่ง และแรงผลักดัน ให้ผู้เกี่ยวข้องเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ต่อไป โดยมีแรงหนุนจากสังคมและประชาชน

ในทางตรงกันข้าม หากประชามติไม่ผ่าน ก็จะกลายเป็นข้อสรุปว่าประชาชนไม่ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และต้องอยู่กับรัฐธรรมนูญปี 2560 ต่อไป โดยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสลงประชามติใหม่อีกเมื่อไหร่ ซึ่งหมายความว่า “รัฐธรรมนูญที่มีปัญหา” ก็จะอยู่กับเราไปอีกนานเท่านาน

สำหรับกระบวนการขณะนี้ เมื่อสภามีมติแล้วและมีการยุบสภา ผู้ที่ทำหน้าที่ต่อคือรองประธานรัฐสภา (ประธานวุฒิสภา) ทำหนังสือส่งไปยัง ครม. และ ครม. ต้องมีมติตามที่รัฐสภาร้องขอ จากนั้นจึงส่งไป กกต. (หรือหารือกับ กกต.) เพื่อหาทางจัดให้มีการออกเสียงประชามติ “วันเดียวกันกับวันเลือกตั้ง”

ซึ่งมีข้อดีคือประหยัดงบประมาณ และมีคนออกมาใช้สิทธิจำนวนมากเพราะต้องมาเลือกตั้งอยู่แล้ว แต่ข้อเสียคือคนอาจไปสนใจการหาเสียงนโยบายของพรรคการเมืองมากกว่า จนไม่สนใจเรื่องประชามติแก้รัฐธรรมนูญ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า “ต้องเดินเครื่องจัดขบวนรณรงค์อย่างเต็มที่” เพราะกฎหมายประชามติฉบับล่าสุด “แตกต่างจากก่อนหน้านั้นอย่างมาก”

ในการทำประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญปี 2560 มีกติกาที่ห้ามเผยแพร่สื่อหรือข้อความที่ “ผิดไปจากข้อเท็จจริง” รวมถึงการยุยง ส่งเสริม ปลุกปั่น ทำให้ฝ่ายที่เห็นต่างถูกกล่าวหาว่าบิดเบือนหรือให้ข้อมูลเท็จ จนแทบไม่เกิดการรณรงค์

แต่ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กฎหมายประชามติฉบับปัจจุบันเขียนชัดว่า ประชาชน พรรคการเมือง องค์กรเอกชน และทุกภาคส่วน สามารถชี้แจงรณรงค์ได้อย่างเสรี ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญได้เต็มที่ และหากรัฐหรือคณะกรรมการของรัฐจะชี้แจงเกี่ยวกับคำถามประชามติ ก็ต้องเปิดโอกาสให้พรรคการเมือง องค์กรเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่

ดังนั้น อันดับแรก กกต. ต้องรีบวาง “หลักเกณฑ์และวิธีการ” สำหรับการชี้แจงรณรงค์ให้ชัดเจนโดยเร็ว ส่วนพรรคการเมือง องค์กรเอกชน องค์กรภาคประชาสังคม และประชาชนที่สนใจให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ก็ควรรีบพูดคุย ปรึกษาหารือ และกำหนดแนวทางรณรงค์ร่วมกัน โดยเฉพาะพรรคการเมืองควรกำหนดเป็นนโยบาย มอบหมายบุคลากร และเดินหน้าชี้แจงรณรงค์ให้ประชาชนสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

เรื่องนี้ผมได้เสนอความเห็นไปยังพรรคเพื่อไทยแล้ว โดยหารือกับท่านเลขาธิการพรรค ว่าน่าจะกำหนดเป็นนโยบายเข้าร่วมสนับสนุนและส่งเสริมการรณรงค์ เพื่อให้ประชาชนเห็นชอบประชามติครั้งนี้ และโดยส่วนตัวผมก็พร้อมเข้าร่วมรณรงค์ พร้อมร่วมมือกับพรรคการเมืองและองค์กรภาคประชาสังคม กลุ่มต่าง ๆ ที่ทำงานด้านประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ

ผมอยากเห็นพรรคการเมืองที่ต้องการผลักดันให้เกิดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งต้องไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 และจัดทำฉบับใหม่ กำหนดนโยบายให้ชัด และหารือกันว่าจะร่วมมือกันอย่างไร จะรณรงค์ร่วมกันหรือแบ่งหน้าที่กันก็ได้ เพื่อให้ประชามติครั้งนี้ “ผ่านความเห็นชอบของประชาชน”

แชร์ข่าว