“เสธ.แมว” ชี้คุมเกมชายแดนต้องครบทุกมิติ เตือนรัฐบาลอย่าหลงเชื่อแรงกดดันมหาอำนาจ ย้ำชายแดนไทยต้องแก้ด้วยยุทธศาสตร์ของไทย ควบคู่กฎหมายสากลคือเกราะเดียวที่พึ่งได้
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ประธานยุทธศาสตร์ความมั่นคง พรรคไทยสร้างไทย แสดงความเห็นต่อสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง โดยชี้ว่าประเด็นการหยุดยิงที่มีการสื่อสารจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาว่าเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดเป็นเพียงอุบัติเหตุ และฝ่ายไทยตอบโต้รุนแรงเกินควรนั้น เป็นการสื่อสารที่ไม่สะท้อนข้อเท็จจริงในพื้นที่ และไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากบริบทที่แท้จริงคือการละเมิดข้อตกลงและการรุกรานจากฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง การตอบโต้ของไทยจึงเป็นการป้องกันตนเองภายใต้สิทธิอันชอบธรรม มิใช่การใช้กำลังเกินกว่าเหตุอย่างที่ถูกกล่าวอ้างในเวทีระหว่างประเทศ
ประธานยุทธศาสตร์ความมั่นคง พรรคไทยสร้างไทย ระบุด้วยว่า ท่าทีของสหรัฐที่สื่อสารในลักษณะกดดันหรือข่มขู่ให้ไทยหยุดยิง โดยไม่แสดงความชัดเจนในการเรียกร้องให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงที่มีอยู่ ถือเป็นความไม่สมดุลทางการทูต และอาจบ่อนทำลายหลักความยุติธรรมระหว่างประเทศ หากมหาอำนาจเลือกกดดันฝ่ายที่ปกป้องอธิปไตยของตนเอง มากกว่าการเรียกร้องให้ฝ่ายที่ละเมิดข้อตกลงหยุดการกระทำดังกล่าว ย่อมทำให้ระบบกติกาสากลขาดความน่าเชื่อถือ และส่งสัญญาณที่ผิดไปยังประเทศขนาดเล็กว่าการรุกรานอาจไม่ต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริง
พล.ท.ภราดร ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่ฝ่ายไทยยึดอาวุธขีปนาวุธต่อต้านรถถังนำวิถีรุ่นใหม่ GAM-120LR ซึ่งมีแหล่งผลิตจากจีน ว่าสะท้อนบทบาทของจีนที่ให้ความสำคัญกับการค้าขายอาวุธมากกว่าความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวกับไทย ทั้งที่สถานการณ์ดังกล่าวเป็นกรณีที่กัมพูชาเป็นฝ่ายรุกรานอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน การที่จีนยังคงขายอาวุธให้กัมพูชาจึงควรถูกทบทวนอย่างจริงจัง เพราะไม่เพียงกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาค แต่ยังสะท้อนถึงข้อจำกัดของการพึ่งพามหาอำนาจในยามวิกฤต
พล.ท.ภราดร เห็นว่า การแก้ไขปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาไม่อาจหวังพึ่งพามหาอำนาจอย่างสหรัฐหรือจีนเป็นหลักได้อีกต่อไป ไทยจำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกันด้านความมั่นคงด้วยตนเอง โดยยึดการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัดเป็นเกราะคุ้มกัน เพื่อสร้างความชอบธรรมในสายตานานาชาติ ควบคู่กับการเสริมสร้างขีดความสามารถของรัฐในการป้องกันประเทศอย่างยั่งยืน ไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือหรือเหยื่อของเกมอำนาจระหว่างประเทศ
พร้อมย้ำด้วยว่า การเอาชนะความขัดแย้งกับกัมพูชาอย่างเด็ดขาดไม่อาจใช้เพียงปฏิบัติการทางทหารเพียงมิติเดียว แต่ต้องอาศัยยุทธศาสตร์การสถาปนาความมั่นคงชายแดนแบบบูรณาการ ครอบคลุมทั้งภารกิจทางทหาร การจัดระเบียบความมั่นคงชายแดน การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การควบคุมการโยกย้ายถิ่นฐาน และมาตรการทางเศรษฐกิจ เช่น การห้ามขนส่งน้ำมันไปยังกัมพูชา รวมถึงการดำเนินการด้านการทูตอย่างรอบคอบ พร้อมกันนี้ยังแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อกรณีที่มีคนไทยถูกกักกันค้างอยู่ในกัมพูชา ซึ่งมีลักษณะเสมือนการใช้พลเรือนเป็นตัวประกัน อันอาจเข้าข่ายการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรมสากล และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนบนพื้นฐานของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความรับผิดชอบของรัฐต่อประชาคมโลก







