เผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักทั้งในห้วงก่อนและระหว่างการสู้รบกับกัมพูชา แต่ “บิ๊กปู” พล.อ. พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ก็ยังคงนิ่ง และเก็บตัวเงียบ
โดยมี “บิ๊กปูด้วง” พล.อ. ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก เพื่อนรักร่วมรุ่นเตรียมทหาร (ตท.) 26 คอยออกสื่อ และให้สัมภาษณ์แทน เสมือนเป็นตัวแทนของ พล.อ. พนา
และมี “เสธ.ต๊อด” พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก รับหน้าที่หลักในการชี้แจงทำสงครามข่าวสารและออกสื่อให้สัมภาษณ์ เป็นเสมือนแม่ทัพด้านข่าวสารของกองทัพบก
และมี “แม่ทัพกุ้ง” พล.ท. บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาค 2 ในฐานะที่ปรึกษา ผบ.ทบ. และเพื่อนสนิทร่วมรุ่น ตท. 26 ที่ทำหน้าที่เสมือนขุนพลทำศึกในการสร้างความศรัทธาในหมู่ประชาชนต่อกองทัพบก
ขณะที่ “แม่ทัพเติ่ง” พล.ท. วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาค 2 เพื่อนร่วมรุ่น ตท. 26 อีกคนซึ่งมีบุคลิกภาพคล้ายกันคือไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยอยากออกสื่อ แต่ทำหน้าที่ของแม่ทัพในการบัญชาการรบโดยเฉพาะ
ในห้วงก่อนการสู้รบครั้งที่ 2 ธันวาคม 2568 กระแสกดดันย้อนรอยเหมือนเมื่อครั้งก่อนการปะทะรอบแรกกรกฎาคม 2568 ที่เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์พุ่งไปที่ตัว พล.ท. บุญสิน เราต้องการให้สู้รบกับกัมพูชาให้แตกหัก แต่ในห้วงเวลานั้น ภาพลักษณ์ พล.ท. บุญสิน แม้จะเป็นที่ชื่นชอบแต่เมื่อไม่มีการสู้รบเกิดขึ้น ก็ถูกเสียงในโซเชียลมีเดียประชดประชัน ค่อนแคะ ที่ยังไม่เปิดการรบแต่ใช้วิธีการประท้วง และการทำศึกทางวาจา
จนที่สุดสถานการณ์ตึงเครียดเมื่อเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างชาวไทยและชาวกัมพูชาที่มาท่องเที่ยวปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ และสอบเขาว่าจะเกิดความรุนแรง พล.ท. บุญสิน จึงได้สั่งเปิดปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควายเมื่อ 24 ก.ค. 2568 จนเกิดการปะทะกันในที่สุด รบกัน 4 คืน 5 วัน จนที่สุดต้องหยุดยิง เมื่อเที่ยงคืน 28 ก.ค. 2568 หลังถูกกดดัน โดยสหรัฐฯ และมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน
หลังการสู้รบรอบแรก คะแนนความนิยมและความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อกองทัพพุ่งสูงขึ้นโดยเฉพาะต่อตัว พล.ท. บุญสิน จนเกิดกระแสฟีเวอร์ และเดินสายพบปะบรรยายให้นักเรียนนิสิตนักศึกษาและประชาชนทั่วประเทศ จนเกษียณราชการ
แม้จะไม่มีการสู้รบรอบสองในยุคที่ พล.ท. บุญสิน เป็นแม่ทัพภาค 2 อยู่เพื่อเอาคืนปราสาทตาควายแต่ พล.ท. บุญสิน ก็ไม่ได้ถูกโจมตีแต่กลับกลายเป็น พล.ท. วีระยุทธ ที่ถูกทัวร์ลงแทน
กระแสความไม่พอใจที่มีต่อกองทัพที่ปล่อยให้ทหารกัมพูชายั่วยุและข่มขู่ทหารไทยทั้งในการลาดตระเวน การรื้อลวดหนาม การขโมยลวดหนาม การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 จนทำให้ทหารไทยต้องเสียขาเป็นรายที่ $7$ แต่การสู้รบก็ไม่ได้เกิดขึ้น
แม้ทางกองทัพจะมีท่าทีที่แข็งกร้าวทั้งตั้งแต่ระดับเล็ก ๆ พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ กลาโหมจนถึงแม่ทัพภาค 2 ที่ควรจะตอบโต้ตามกฎการใช้กำลังจนในที่สุดการสู้รบรอบสองก็ไม่เกิดขึ้น
ในจังหวะนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่จากภาคใต้โดยเฉพาะหาดใหญ่ สงขลาอย่างหนักจึงทำให้กระแสกดดันเรื่องกัมพูชาเบาบางลงเนื่องจากกองทัพต้องเป็นกำลังหลักในการช่วยเหลือประชาชน
แม้ว่ากำลังทหารที่ไปช่วยน้ำท่วมจะเป็นกำลังทหารของกองทัพภาค 4 และกองบัญชาการกองทัพไทยก็ตาม แต่ทหารที่ดูแลชายแดนไทย-กัมพูชาในส่วนของกองทัพภาค 2 และกำลังเสริมจากกองทัพภาค 1 และกองทัพภาค 3 ก็ยังคงอยู่ในพื้นที่ ไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือน้ำท่วมก็ตาม
แต่ทันทีที่น้ำลด และยังอยู่ในห้วงที่กองทัพ ต้องช่วยฟื้นฟูหลังน้ำลด สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาก็กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เมื่อทหารกัมพูชายิงใส่ทหารไทยที่เข้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดและสร้างถนนในพื้นที่ ภูผาเหล็ก จ. ศรีสะเกษ เมื่อบ่ายวันที่ 7 ธันวาคม 2568 ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย จนมีการปะทะกันเกิดขึ้นประมาณ 15 นาทีและเสียงปืนก็เงียบสงบลง
แต่เสียงที่ดังขึ้นมาแทนจากในโซเชียลมีเดียและกระแสสังคมคือแรงกดดันให้กองทัพตัดสินใจเปิดการสู้รบรอบสองจากเหตุที่ทหารเขมรยิงทหารไทยที่สำคัญเป็นการยิงใส่หน้าอกถือว่าเจตนาทำให้เสียชีวิต แต่โชคดีที่โดนเสื้อเกราะ
ในห้วงเวลานั้นเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่ยังไม่มีการตอบโต้อีกทั้งมีกระแสข่าวจากในพื้นที่ว่าให้เข้าตั้งหาที่กำบัง และรอในระดับพื้นที่ไทยและกัมพูชาเจรจากันก่อน เพราะผู้บังคับหน่วยในพื้นที่เห็นว่าต้องการถามฝ่ายกัมพูชาให้ชัดเจนเพราะเป็นฝ่ายเดินเข้ามายิง
อีกทั้งกระแสข่าวหน้าแนวในเวลานั้นไม่มีรายงานของการมีคำสั่งให้เตรียมตอบโต้แต่อย่างใด จึงทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
จนในที่สุดทางกองทัพภาค 2 กองกำลังสุรนารีได้แจ้งให้ทางจังหวัด ฝ่ายปกครองอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่และส่งสัญญาณการเตรียมพร้อมที่จะปะทะในเช้าวันรุ่งขึ้น 8 ธันวาคม 2568
ทั้งนี้เพราะ พล.อ. พนา เป็นห่วงชาวบ้าน เกรงว่าจะได้รับผลกระทบเหมือนการสู้รบรอบแรก จึงต้องการให้เคลียร์พื้นที่ และอพยพชาวบ้านออกไปให้หมดก่อน ฝ่ายทหารจึงจะเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ
ขณะที่ฝ่ายทหารกัมพูชาก็มีการเสริมกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาและเปิดฉากยิงในรุ่งสางของวันรุ่งขึ้นทันทีซึ่งเป็นการเริ่มต้นของการปะทะรอบที่สองระหว่างไทยกับกัมพูชา
ในห้วงการรัฐบาลจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยและมี อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นการรบครั้งแรกในรัฐบาลใหม่ที่ก็มีอายุสั้น ตาม MoA กลับพรรคประชาชน
พล.อ. พนา เกาะติดสถานการณ์การสู้รบโดยบัญชาการอยู่ที่กองบัญชาการกองทัพบกกรุงเทพมหานคร ในห้วงแรก โดยส่ง พล.อ. ชัยพฤกษ์ ลงพื้นที่แทน เนื่องจากติดหลายภารกิจ
จนในที่สุด พล.อ. พนา พร้อมด้วย พล.ท. บุญสิน ก็เดินทางลงพื้นที่ด้วยกัน เมื่อ $10-11$ ธันวาคมที่ผ่านมาเพื่อไปเยี่ยมทหารบาดเจ็บและไปร่วมประชุมติดตามสถานการณ์และบัญชาการรบกับ พล.ท. วีระยุทธ
มีรายงานว่าก่อนหน้าที่จะตัดสินใจสู้รบรอบสอง พล.อ. พนา ได้ตรวจสอบความพร้อมในทุกด้านทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ และกำลังพลยุทโธปกรณ์ใหม่ที่เตรียมรับมือระบบแอนตี้โดรน เราต้องการให้พร้อม $100\%$ และต้องการให้กำลังพลสูญเสียและบาดเจ็บน้อยที่สุด
โดยในห้วงการสู้รบที่ทหารไทยเสียชีวิตมากกว่า $10$ นายและบาดเจ็บมากกว่า $120$ นาย มีรายงานว่าพล.อ. พนา เสียใจและเครียดอย่างมาก
และตัดสินใจเปลี่ยนชื่อปฏิบัติการทางทหารรอบสองจากชื่อ “ยุทธการยุทธบดินทร์” เป็น “ยุทธการศตวรรษ” เพื่อเป็นการสดุดีรำลึกถึง จ่าสิบเอก ศตวรรษ สุจริต ทหารไทยที่เสียชีวิตคนแรก ในการปะทะรอบ 2 นี้
แต่เมื่อเริ่มการสู้รบแล้วก็ต้องไปต่อให้สุดโดยยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุดและยึดคืนแผ่นดินไทยที่เสียไปให้ครบหมดทุกจุด
ซึ่งตรงกับคำสั่งของนายกรัฐมนตรีและมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ต้องการทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพด้านการทหารและการเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทย
แม้ว่าต่อมาสถานการณ์ทางการเมืองจะทำให้ อนุทิน ต้องประกาศยุบสภาตั้งแต่ 11 ธันวาคม 2568 และกลายเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลรักษาการก็ตาม แต่ไม่มีผลต่อการสู้รบโดยกองทัพยังคงมีอำนาจเต็มที่และยึดตามมติ สมช.
โดยการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีอนุทินกับผู้บัญชาการเหล่าทัพที่กองบัญชาการกองทัพไทยเมื่อ 12 ธันวาคม 2568 อนุทิน ยืนยันที่จะสนับสนุนกองทัพให้ทำการสู้รบต่อไปอย่างเต็มที่ แม้เป็นรัฐบาลรักษาการก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการสู้รบใด ๆ
อีกทั้งฝ่ายกองทัพเองก็มีอำนาจเต็มที่ ตามกฎหมายต่าง ๆ ที่มีอยู่และตามมติ สมช. ก่อนหน้านี้
แม้จะมีความพยายามจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ และนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกมาเลเซีย ที่ต้องการให้หยุดยิงกับกัมพูชา โดยมีการโทรศัพท์มาพูดคุยกับนายอนุทินคืนวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา
แต่ อนุทิน ก็ยืนกรานตามความเห็นของกองทัพที่ได้มีการประชุมร่วมก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง ในการยืนยันจุดยืนคือ กองทัพจะต้องปฏิบัติการทางทหารเพื่อยึดคืนแผ่นดินไทยทั้งหมดให้ได้และทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพการเป็นภัยคุกคามต่อไทยและสิ้นสภาพทางการทหาร
อีกทั้ง อนุทิน เองในห้วงที่เป็นรัฐบาลรักษาการก็ถูกจับตามองว่าการสนับสนุนการสู้รบที่นอกจากจะเป็นการเรียกเกียรติยศศักดิ์ศรีของประเทศและเอาแผ่นดินไทยกลับคืนมาแล้วอีกด้านหนึ่งก็ถูกมองว่าเป็นการสร้างคะแนนนิยมจากเรื่องการสู้รบหรือไม่
อย่างไรก็ตามในส่วนของกองทัพเองซึ่งก่อนหน้านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะไม่เปิดการสู้รบดังนั้นเมื่อเปิดการสู้รบระลอกสองแล้วก็ทำให้คะแนนนิยมกลับคืนมา
แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับผลการสู้รบในครั้งนี้ว่าในที่สุดแล้วกองทัพจะสามารถเผด็จศึกเอาชนะกัมพูชาได้ภายในกี่วันและสามารถยึดคืนแผ่นดินไทยกลับคืนได้หมดทุกพื้นที่หรือไม่และกำลังพลที่สูญเสียบาดเจ็บอยู่ในข่ายที่ประชาชนยอมรับได้หรือไม่
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่มองว่ากองทัพปฏิบัติการอ่อนละมุนเกินไป เพราะยังคงยึดกฎกติกามารยาท กฎของการได้สัดส่วนและความจำเป็นทั้ง ๆ ที่ทำให้เกิดความเสียเปรียบ และทำให้กำลังพลบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
ในขณะเดียวกันก็เป็นการทดสอบความพร้อมของกองทัพไทยจากการสู้รบกับกัมพูชาที่ทำให้ได้รู้ว่ามีจุดอ่อน/แข็งและความขาดแคลนความไม่พร้อมในด้านใดบ้าง
พร้อมกันนี้ก็ทำให้ได้เห็นถึงการพัฒนากองทัพและความแข็งแกร่งของทหารกัมพูชาในห้วง $14$ ปีหลังการสู้รบในปี 2554 ทั้งในแง่ของกำลังพลความทันสมัยและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีจำนวนมากโดยเฉพาะอาวุธจากจีนและกระสุนที่มีจำนวนมากและยิงแบบไม่อั้น
ที่เป็นการสะท้อนได้ว่ากัมพูชามีการเตรียมการสู้รบมาล่วงหน้าหลายปี และเป็นการสะท้อนอีกว่ากัมพูชามีประเทศมหาอำนาจหนุนหลังในการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์และกระสุน ให้ต่อสู้กับประเทศไทย เพราะในการสู้รบระลอก 2 แม้ผ่านไป 5 วันแล้วทหารไทยก็ยังไม่สามารถเผด็จศึกกัมพูชาให้ราบคาบได้
และเสี่ยงต่อการถูกมหาอำนาจกดดันให้ต้องหยุดยิงและทำให้มีเวลาในการสู้รบจำกัด เพราะยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ยังไม่สามารถเอากลับคืนมาได้
การรบครั้งนี้ จึงไม่เพียงแค่ชี้ชะตาของนายอนุทินว่าจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในสมัยหน้าหรือไม่ แต่ยังเป็นการชี้ชะตากองทัพและผู้นำเหล่าทัพโดยเฉพาะกองทัพบกด้วยว่า จะสามารถเรียกคืนศรัทธา ความเชื่อมั่นจากประชาชนได้หรือไม่ด้วย
#อนุทิน #ศึกไทยกัมพูชา #กองทัพบก #ผบทบ #การเมืองไทย #สงครามชายแดน #ความมั่นคง








