วันที่ 11 ธ.ค.68 ที่รัฐสภา ในการประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัญเป็นพิเศษ ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.. ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาแล้วเสร็จ ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง
นายชวน หลีกภัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ได้อภิปรายโดยแสดงความห่วงใยต่อการแก้ไขและใช้รัฐธรรมนูญจากประสบการณ์ของตนเองโดยกล่าวว่า เนื่องจากนายทรงศักดิ์ มุสิกอง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้พาดพิงถึงตนในทางที่ดีกับตน แต่เพื่อประโยชน์ในการลงมติต่อไป ตนจึงขอย้ำสิ่งที่นายทรงศักดิ์อภิปรายไว้ในขั้นรับหลักการ และตนได้มีส่วนในการอภิปรายในครั้งนั้นว่า ตนเป็นผู้ใช้รัฐธรรมนูญมากกว่าหลายท่าน หรือมากกว่าทุกคนในที่นี้ด้วยซ้ำไป เนื่องจากตนเป็นผู้แทนราษฎรมา 17 สมัย มากกว่า 50 ปี ดังนั้นจึงได้เห็นอะไรด้วยตาตัวเอง ขอใช้คำว่าเป็นประจักษ์พยาน ไม่ใช่พยานบอกเล่า โดยตนได้กล่าวไว้ว่า สิ่งที่ได้ใช้รัฐธรรมนูญมานั้น ถือเป็นหน้าตาของประเทศ ถือเป็นสัญลักษณ์ เอกลักษณ์ เป็นความภาคภูมิใจ เพราะเป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่า ประเทศเราปกครองด้วยระบอบอะไร หลักของเราคืออะไร
"ผมได้กล่าวไว้ว่า ในทางปฏิบัติ รัฐธรรมนูญจะดีอย่างไรก็ตาม แต่หากผู้ใช้มีปัญหา ผู้ใช้ไม่ดี ก็เกิดวิกฤตบ้านเมือง ที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญฉบับที่เราคิดว่าดี เช่น ฉบับ 2540 ก็เกิดวิกฤต ซึ่งเกิดจากผู้ใช้ ท้ายสุดที่อยากจะกล่าวย้ำถึงสิ่งที่ สส.ทรงศักดิ์ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ขออ่านคำปรารภรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ที่เราใช้อยู่ขณะนี้: การปกครองประเทศไทย ได้ดำรงเจตนารมณ์ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อเนื่องมาโดยตลอด แม้ได้มีการยกเลิก แก้ไข เพิ่มเติม และประกาศใช้รัฐธรรมนูญเพื่อจัดระเบียบการปกครองให้เหมาะสมหลายครั้ง แต่การปกครองก็มิได้มีเสถียรภาพ หรือราบรื่นเรียบร้อย เพราะยังคงประสบปัญหาและข้อขัดแย้งต่าง ๆ บางครั้งเป็นวิกฤตรัฐธรรมนูญที่หาทางออกไม่ได้
เหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการที่มีผู้ที่ไม่นำพา หรือไม่นับถือยำเกรงกฎเกณฑ์การปกครองบ้านเมือง ทุจริต ฉ้อฉล หรือบิดเบือนอำนาจ หรือขาดการตระหนักสำนึกความรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชน จนทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นผล จึงจำต้องแก้ไขด้วยการปฏิรูปการศึกษาและการใช้กฎหมาย และเสริมสร้างความเข้มแข็งระบบคุณธรรมและจริยธรรม"
นายชวน กล่าวว่า ข้อความดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในคำปรารภของรัชกาลที่ 10 ที่ประกาศเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ตนคิดว่าข้อความนี้เป็นข้อความสำคัญ จึงต้องการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อให้ได้รับรู้ถึงหลักความสำคัญของกฎหมายบ้านเมือง และจุดอ่อนที่มีการละเมิดกฏเกณฑ์กติกาของบ้านเมือง ตนเชื่อว่าการวินิจฉัยหรือวิจารณ์องค์กรใด ต้องมองภาพความเป็นจริงด้วย ว่าองค์กรเหล่านั้นกระทำผิดเพราะพฤติกรรมของบุคคล หรือเพราะองค์กรมีความไม่สมบูรณ์ อันเนื่องมาจากกฎหมายให้อำนาจมากหรือน้อยไปอย่างไรหรือไม่ แต่จากประสบการณ์ เคยเห็นว่ามีการไปวิ่งเต้นล้มคดีแต่ไม่สำเร็จ แล้วก็พาลไปตำหนิองค์กรเหล่านั้น อย่างเสียหายรุนแรง ตนเห็นว่า ทุกอย่างต้องยึดความเป็นจริง และเป็นธรรม ให้กับทุกองค์กร
"ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ มีความภาคภูมิใจ เมื่อใดก็ตามที่เรามีกฎหมายที่เป็นหลักของบ้านเมือง อันเป็นหน้าตาของประเทศ โครงสร้างบ้านเมืองเราเป็นประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยจะไปได้ต่อเมื่อกฎหมายมีความเข้มแข็ง คือกฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ผิดต้องผิด ผมจึงทำหนังสือถึงประธาน กกต.ว่า ต้องกล้า อะไรที่ผิดต้องเป็นผิด ถูกต้องเป็นถูก ไม่เป็นเครื่องมือนักการเมือง มิฉะนั้น ระบบการเลือกตั้งจะวนเวียนอยู่ในวงจรเลวร้าย ไม่อยากใช้คำว่าวงจรอุบาทว์ คือ ซื้อเสียง มีอำนาจ โกง เอาเงินกลับไปซื้อเสียง มีอำนาจ เวียนอยู่อย่างนี้ ประชาธิปไตยเราก็ไปไม่ได้ ในที่สุดประเทศเราก็ตกต่ำ อย่างที่เราวิตกกังวล และทุกคนที่รักบ้านรักเมืองก็มีความห่วงใยอยู่" นายชวน กล่าว







