วันที่ 11 ธันวาคม 2568 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ สัดส่วนพรรคเพื่อไทย นำโดย นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ, นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงความคืบหน้าและทิศทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนายชูศักดิ์ เปิดเผยว่า การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระสองคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันนี้ ซึ่งตามขั้นตอนจะต้องพักร่างกฎหมายไว้ 15 วัน จึงจะกลับมาลงมติในวาระสามได้ โดยหลักการสำคัญของการแก้ไขครั้งนี้คือการแก้มาตรา 256 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ทั้งนี้ นายชูศักดิ์ ระบุว่า เพื่อให้กระบวนการเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 ซึ่งกำกับไว้ว่ารัฐสภามีอำนาจริเริ่มจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ต้องทำประชามติถามประชาชนก่อน และเป็นหน้าที่ของรัฐสภาในการมีมติส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการ พรรคเพื่อไทยและกรรมาธิการสัดส่วนของพรรคจึงเห็นพ้องให้เสนอญัตติขอให้รัฐสภามีมติส่งเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อจัดทำประชามติครั้งที่ 1 สอบถามประชาชนว่าสมควรให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ โดยญัตติดังกล่าวได้บรรจุวาระแล้วและตั้งใจจะให้พิจารณาทันทีหลังจากจบวาระสอง ซึ่งสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของหลายพรรคการเมืองที่เสนอญัตติในลักษณะเดียวกัน
ทางด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง ได้กล่าวเสริมถึงประเด็นความล่าช้าและความชัดเจนทางกฎหมายว่า ก่อนหน้านี้ ครม. เคยระบุว่าจะส่งเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำประชามติ แต่ภายหลังได้รับความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาว่ามติ ครม. ไม่ผูกพันกับรัฐสภา จึงยุติการดำเนินการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าท่าทีเดิมของ ครม. ขาดการศึกษาข้อมูลที่รอบด้าน อย่างไรก็ตาม การยื่นญัตติของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ถือเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และจะช่วยตอบโจทย์ว่าจะจัดทำประชามติครั้งที่ 1 ไปพร้อมกับการเลือกตั้งได้อย่างไร ซึ่งหากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวาระสองและรออีก 15 วันจนผ่านวาระสาม ก็จะเอื้อให้เกิดการทำประชามติ 2 คำถามในคราวเดียวกันได้ตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง
ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ได้ขยายความถึงเหตุผลเชิงกลยุทธ์ในการยื่นญัตตินี้ว่า พรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้รัฐสภาส่งเรื่องไปยังนายกรัฐมนตรีสำหรับการทำประชามติ "คำถามที่หนึ่ง" โดยไม่ต้องรอผลของ "คำถามที่สอง" ที่จะต้องรอให้รัฐสภาเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระสามก่อน การดำเนินการเช่นนี้ถือเป็นการสร้างหลักประกันทางการเมือง เพราะหากเกิดอุบัติเหตุหรือเงื่อนไขใดๆ ที่ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ผ่านความเห็นชอบในวาระสาม อย่างน้อยกระบวนการถามประชามติคำถามแรกว่าควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ก็ได้ถูกส่งไปยังนายกฯ และ กกต. เรียบร้อยแล้ว แต่หากร่างแก้ไขผ่านวาระสามตามปกติ รัฐสภาก็จะส่งเรื่องคำถามที่สองตามไป ซึ่งจะทำให้สามารถจัดทำประชามติทั้ง 2 คำถามไปพร้อมกันในคราวเดียวได้







