เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2568 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน โดยระบุว่า เมื่อการสู้รบชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ยังไม่ยุติลงเด็ดขาดแล้ว การเจรจาเพื่อสันติภาพย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้น ไทยไม่ควรปล่อยปัญหาดินแดนไว้คาราคาซังกันอีก
"สงครามต้องจบก่อน สันติภาพจึงจะเกิดขึ้นได้ เมื่อสงครามยังค้างคากันก็ไม่มีหนทางเกิดสันติภาพขึ้นมาได้ โดยการเจรจาหยุดยิงเมื่อ 28 ก.ค. ที่ผ่านมา เราบอกเป็นความเสียหาย เป็นความคับแค้น และยังไม่จบ มันจึงค้างคา แม้ประธานาธิบดีทรัมป์ มาเป็นสักขีพยานลงนามสันติภาพ ก็ไม่สามารถหยุดอะไรได้ เพราะสงครามมันยังไม่จบ”
พร้อมทั้งกล่าวว่า กรณีประธานาธิบดีทรัมป์ จะโทรหย่าศึกไทยกับกัมพูชานั้น จุดยืนของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ ยังมุ่งเดินหน้ารบกันต่อ โดยกองทัพว่าอย่างไรก็ว่ากันตามนั้น เพราะอารมณ์ประชาชนไทยไปไกลแล้ว ส่วนอันวาร์ เสนอหน้าให้เจรจากันนั้น คนไทยแสยงกับความเห็นแล้ว
อย่างไรก็ตาม การสู้รบชายแดนขณะนี้ ได้ก้าวข้ามมาถึงจุดเป็นเรื่องของชาติบ้านเมืองแล้ว ถ้ายังเล่นเกมการเมืองเพื่อความได้เปรียบ หรือจะได้เลือกตั้งเร็ว หรือให้รัฐบาลมีอันเป็นไป ผลลัพธ์จะกลายเป็นคนละเรื่อง เช่น ถ้ายื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายอนุทินก็ยุบสภา เมื่อยังสู้รบกันอยู่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะจัดเลือกตั้งภายใน 60 วันได้อย่างไร แล้วจะยุบสภาไปทำไม ท้ายสุดอาจนำพาให้ ผบ.ทบ. ใช้อำนาจกองทัพประกาศกฎอัยการศึก
อีกอย่าง ถ้าอภิปรายตาม ม.152 ของ รธน. 2560 เมื่อมีการสู้รบกันแบบนี้จะประชุมโดยเปิดเผยได้หรือไม่ ท้ายสุดรื่องเกี่ยวข้องความมั่นคงจะเป็นการประชุมลับ ก็ไม่ได้อะไรอีก ดังนั้น เมื่อสถานการณ์สงครามเกิดขึ้นย่อมทำให้ทุกอย่างจึงขวางหูขวางตาหมด ซึ่งฝ่ายการเมืองต้องใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง
ส่วน การแก้ รธน.นั้น แม้การลงมติวาระสองใช้เสียงข้างมาก แต่ในวาระสามแล้ว เสียงข้างมากแต่ต้องมีเสียง สว.จำนวน 1 ใน 3 ด้วยจึงจะผ่านได้ ซึ่งจะกลายเป็นปัญหา เพราะคาดว่า สงครามนี้ยังใช้เวลาอีกหลายวันจึงจะยุติ ถ้าโชคนี้คงจบก่อนสิ้นปี 2568
“ทรัมป์-อันวาร์ อย่าเข้ามายุ่ง อย่ามากินเผือก ถ้ามาหยุด ยิ่งยังค้างกันอยู่ แต่เกรงใจอเมริกา หรือตามใจอันวาร์ แล้วท้ายสุดอีก 3 เดือนรบกันใหม่ แล้วประชาชน ทหาร และประเทศไทยเดือดร้อนอีก จะทำอะไรก็ค้างคากันทางความรู้สึก แม้ใคร ๆ ไม่อยากให้สงครามเกิดขึ้น แต่เมื่อดีกันไม่ได้ หลีกเลี่ยงกันไม่ได้ มันต้องเดินไปที่จุดที่ต้องสุดทางกัน จนไม่ไหวกันแล้ว จึงมาเจรจากัน”
นายจตุพร ย้ำว่า ถ้าสงครามไม่จบ แล้วอยู่ดีๆ ไปเจรจากัน นายกฯ ก็ถูกตะเพิด ซึ่งรัฐบาลรู้ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาประเทศเสียอะไรไปบ้างในเรื่องดินแดนที่ไม่ควรเสีย ดังนั้น การปล่อยปละกันมานั้น ไทยถูกเอาเปรียบมาตั้งแต่เจ้าอาณานิคมแล้ว จนมาถึงประเทศใต้อาณานิคมยังตามมาเอาเปรียบในเรื่องดินแดนกันอีก แล้วคนไทยบางจำพวกยังไม่รู้สึกรู้สาในเรื่องดินแดนกันอีก
อีกทั้งกล่าวว่า ไทยควรยกเลิก MOU 43-44 กันเสียเลย เพราะไม่รู้เก็บไว้ทำไมและจะศึกษากันเพื่ออะไร เมื่อไทยไม่เจรจาแล้วจะเก็บเอาไว้ทำไม และยังเป็นเครื่องมือให้เกิดสงครามอีกด้วย
“เมื่อไทยมีจุดยืนไม่เจรจา แล้วรบกัน เราก็ไม่ควรเก็บเอาไว้ เหมือนเอาอาหารบูดแช่ตู้เย็นไว้ ก็กินไม่ได้ สิ่งสำคัญสงครามที่ยังไม่จบนั้น จะทำให้สงครามไม่มีวันจบ ดังนั้น เมื่อกองทัพดำรงความมุ่งหมายให้จบ ก็เดินเข้าไป ส่วนทรัมป์ โทรมาคุยก็คุย โดยบอกความจริงว่า ประชาชนประเทศนี้ไม่ยินยอม และถ้าตามทรัมป์แล้ว นายกฯ ก็จะถูกขับไล่เหมือนกัน”








