วันที่ 10 ธันวาคม 2568 ที่รัฐสภา นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ได้เปิดเผยถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติเนื่องในวันรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่าการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญวาระสองในครั้งนี้ แม้ตามกรอบเวลา 60-150 วันจะสามารถรอเปิดในสมัยสามัญได้ แต่การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามข้อตกลง (MOA) ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชนที่กำหนดให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี โดยนายนิกรได้แสดงความกังวลถึงความขัดแย้งในการพิจารณาวาระสอง ซึ่งแม้สภาผู้แทนราษฎรจะใช้เสียงข้างมากชนะวุฒิสภาได้ แต่ในวาระสามนั้นถือว่ามีความล่อแหลมอย่างมาก เพราะจำเป็นต้องใช้เสียงวุฒิสภาถึง 1 ใน 3 จึงมองว่าทั้งสองฝ่ายควรหันหน้ามาพูดคุยทำความเข้าใจกันก่อนเพื่อให้ร่างกฎหมายผ่านไปได้
สำหรับขั้นตอนการทำประชามตินั้น นายนิกรกล่าวถึงกรณีนายภราดร ปริศนานันกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เตรียมยื่นญัตติเพื่อให้รัฐสภาเป็นผู้ตั้งคำถามประชามติข้อที่ 1 ว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้รัฐสภาเท่านั้นมีอำนาจตั้งคำถาม ซึ่งหากให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการตาม พ.ร.บ.ประชามติเดิมอาจขัดต่อคำวินิจฉัยศาลได้ โดยหากมีการเสนอญัตติในวันที่ 12 ธ.ค. นี้ หรือรอจนผ่านวาระสองไปแล้ว 15 วัน เมื่อสภามีมติส่งเรื่องไปยังคณะรัฐมนตรี จะต้องออกพระราชกำหนดทำประชามติภายในกรอบเวลาไม่น้อยกว่า 60 วัน แต่ไม่เกิน 150 วัน ซึ่งหากคำนวณตามกรอบเวลาและสถานการณ์ทางการเมืองตาม MOA ที่จะมีการยุบสภา การจัดการเลือกตั้งและประชามติอาจ "ลงล็อก" พร้อมกันในวันที่ 29 มี.ค. 2569
นายนิกร ย้ำถึงความสำคัญของการจัดเลือกตั้งพร้อมกับการทำประชามติว่าจะช่วยประหยัดงบประมาณแผ่นดินได้อย่างมหาศาล โดยปกติการจัดเลือกตั้งจะใช้งบประมาณราว 6,000 ล้านบาท ส่วนการทำประชามติแยกต่างหากจะใช้อีกประมาณ 4,000 ล้านบาท รวมเป็น 10,000 ล้านบาท แต่หากสามารถดำเนินการพร้อมกันได้ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ถึง 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งตนหวังว่ากระบวนการทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญและงบประมาณจะเป็นไปตามทิศทางนี้
นอกจากนี้ ในประเด็นเรื่อง MOU 2544 นายนิกร ในฐานะประธานคณะทำงานเขียนรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาข้อดีข้อเสียการยกเลิก MOU 2543 และ MOU 2544 เปิดเผยว่า ขณะนี้การเขียนรายงานใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยมีกำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 17 ธ.ค. และตั้งเป้าจะเสนอเข้าสู่สภาให้ทันวันที่ 19 ธ.ค. นี้ โดยผลการศึกษามีความเห็นแบ่งเป็นสองฝ่ายที่มีน้ำหนักใกล้เคียงกัน คือทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยให้ยกเลิกและไม่เห็นด้วย จึงจะใช้วิธีบันทึกความเห็นของกรรมาธิการรายบุคคลคล้ายกับกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยมุ่งหวังว่าข้อสังเกตจากกรรมาธิการจะช่วยเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของรัฐบาลในการประคองสถานการณ์ประเทศ ท่ามกลางบริบทการสู้รบตามแนวชายแดนที่มีผลต่อการพิจารณาในขณะนี้







