เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องตามเรื่องพิจารณาที่ 35/2568 ไว้พิจารณาวินิจฉัย ว่าเข้าข่ายเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) ประกอบมาตรา 156 (15) ประกอบคำวินิจฉัยศาลที่ 4/2564 และคำวินิจฉัยที่ 18/2568 หรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวว่า ด้วยความเคารพศาล แต่ไม่อาจเห็นพ้องด้วยที่ยกคำร้องของตน โดยให้เหตุผลเพียงว่า “แต่การดำเนินการของผู้ถูกร้องทั้งสองตามคำร้องยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่จะเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง” ซึ่งตนเห็นแย้งว่า ตามคำร้องปรากฎข้อเท็จจริงตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง แล้ว
นายเรืองไกร กล่าวว่า ในคำร้อง จึงได้ขอให้ ป.ป.ช. ซึ่งมีหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) ตรวจสอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ โดยในคำร้องได้แบ่งเป็นข้อ ๆ ดังนี้
ข้อ 1. เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญได้เผยแพร่ข่าวที่ 44/2568 เรื่องที่ 3 โดยมีความดังนี้
“(๓) คำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ (เรื่องพิจารณาที่ ๓๕/๒๕๖๘)
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ กล่าวอ้างว่า ประธานรัฐสภา (ผู้ถูกร้องที่ ๑) และสมาชิกรัฐสภา (ผู้ถูกร้องที่ ๒) จัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาและลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นการแสดงความประสงค์จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่ได้ร้องขอให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการออกเสียงประชามติก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีบทบัญญัติว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้ประชาชนได้แสดงความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ไม่เป็นไปตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๘/๒๕๖๘ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙
ผลการพิจารณา
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบ แม้ผู้ร้องจะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด เพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคสอง และอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ ทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคสาม ก็ตาม แต่การดำเนินการของผู้ถูกร้องทั้งสองตามคำร้องยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่จะเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย”
ข้อ 2. การที่ศาลระบุว่า “แต่การดำเนินการของผู้ถูกร้องทั้งสองตามคำร้องยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่จะเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง” นั้น ไม่เป็นไปตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ที่เคยสรุปไว้ว่า “...การเสนอร่างกฎหมาย ถือเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49”
ข้อ 3. ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 หน้า 10 ศาลวินิจฉัยไว้แล้วดังนี้
“การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยวิธีการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมให้มีหมวด 15/1 ย่อมมีผลเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 อันเป็นการแก้ไขหลักการสำคัญที่ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมต้องการปกป้องคุ้มครองไว้ หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วย จึงดำเนินการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป เมื่อเสร็จแล้วต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่...”
ข้อ 4. ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 วันที่ 10 กันยายน 2568 หน้า 15 ระบุว่า “เพราะฉะนั้น เพื่อให้เป็นไปตามหลักอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญของประชาชน การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จำเป็นต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติสามครั้ง ครั้งที่หนึ่ง หากรัฐสภาประสงค์จะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐสภาต้องร้องขอให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการออกเสียงประชามติก่อนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่มีบทบัญญัติว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนการเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อรัฐสภา ตามมาตรา 256 (1) ครั้งที่สอง ...” แต่จากการค้นหามติ ครม. คำว่า “รัฐสภา ขอให้ ทำประชามติ” ไม่พบวาระตามความดังกล่าว
ข้อ 5. กรณีตามคำร้องในเรื่องพิจารณาที่ 35/2568 ซึ่งเป็นคำร้องที่ยื่นเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2568 เลขรับที่ 510 ได้แนบรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของผู้ถูกร้องที่เกิดขึ้นแล้วประกอบกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 ซึ่งศาลต้องรู้เองว่าวินิจฉัยไว้อย่างไร และรัฐสภาต้องทำอย่างไร กี่ขั้นตอน ดังนั้น การที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การดำเนินการของผู้ถูกร้องทั้งสองตามคำร้องยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่จะเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง นั้น จึงขัดต่อแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเอง และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) ตามมาด้วย ซี่งเป็นหน้าที่และอำนาจของ ป.ป.ช. ที่ตรวจสอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ตามมาตรา 234 (1) ดังกล่าว
ข้อ 6. การที่ศาลรัฐธรรมนูญพึ่งมาเผยแพร่ข่าวเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 นั้น อาจมาจากการที่ ข้าฯ ได้ใช้โทรศัพท์มือถือโทรสอบถามถึงผลการดำเนินการตามคำร้องลงวันที่ 5 พ.ย. 2568 โดย ข้าฯ โทรไปที่เบอร์ 02-141-7777 กด 1 เมื่อวันพฤหัสที่ 27 พ.ย. 2568 เวลาประมาณ 10.00 น. แต่รอสาย 4 นาที 3 วินาที ก็ไม่มีผู้รับสาย และได้โทรเบอร์ 02-141-7777 กด 1 ตามาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันพฤหัสที่ 27 พ.ย. 2568 เวลาประมาณ 10.15 น. จึงมีเจ้าหน้าที่มาคุยและตอบคำถามประมาณ 6 นาที 26 วินาที ซึ่งสรุปได้รับแจ้งว่า ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้มีการพิจารณาตามคำร้องของข้าฯ ทั้งนี้ ได้มีการแจ้งข้อสังเกตตามข่าวของศาลรัฐธรรมนูญที่ 43/2568เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2568 ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องที่ 36/2568 ด้วย แต่ข้ามเรื่องของข้าฯ คือเรื่องพิจารณาที่ 35/2568 ซึ่งจากคำกล่างอ้างของเจ้าหน้าที่ของศาลระบุว่า ศาลยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ตามคำร้อง แต่หลังจากโทรถามเพียง 2 วันทำการ ก็มีการเผยแพร่ข่าววันที่ 1 ธ.ค. 68
ข้อ 7. การที่มีข่าวศาลรัฐธรรมนูญที่ 34/2568 ออกมาเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 โดยมีเรื่องของข้าฯ รวมอยู่ด้วยในเรื่องที่ 3 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญแถลงข่าวโดยสรุปว่า “ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย” กรณี จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่ รวมทั้งได้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2562หรือไม่
ข้อ 8. เมื่อพิจารณาจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ แถลงข่าวที่ 44/2568 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 ที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การดำเนินการของผู้ถูกร้องทั้งสองตามคำร้องยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่จะเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง นั้น จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคำร้อง ซึ่งมีข้อเท็จจริงของทางรัฐสภาที่ไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 แนบไว้ในคำร้องโดยชัดเจนแล้ว กรณี มีจึงมีเหตุจำเป็นอันควรขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้ทำตามหน้าที่และอำนาจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ รวมทั้งกฎหมายและข้อกำหนดของศาลอย่างไร เมื่อไหร่ และมีกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 , ที่ 3/2567 และที่ 18/2568 หรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ขอให้ ป.ป.ช. เรียกสรรพเอกสารในเรื่องพิจารณาที่ 35/2568 มาประกอบการพิจารณาด้วยว่า ศาลได้เรียกพยานหลักฐานการประชุมจากรัฐสภา หรือ จากคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พุทธศักราช .... หรือ อัยการสูงสุดมาประกอบการพิจารณาแล้ว หรือไม่
ข้อ 9. อนึ่ง ขอให้ตรวจสอบเพิ่มเติมว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ทั้งที่รู้หรือควรรู้ว่าศาลเคยมีคำวินิจฉัยที่ 4/2564 , ที่ 3/2567 และที่ 18/2568 ไว้แล้วนั้น กรณี จะเป็นการขัดต่อคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 191 ในส่วนที่ระบุว่า “... ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ” หรือไม่ และเป็นการวินิจฉัยที่ขัดต่อ มาตรา 188 หรือไม่








