ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตหนี้ครัวเรือนในระดับที่สุดของภูมิภาค และน่าเป็นห่วงยิ่งที่ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในอัตราที่เป็นธรรมได้เลย อันเนื่องมาจากโครงสร้างดอกเบี้ยของสถาบันการเงินไม่สมดุลและไม่เป็นธรรม ซึ่งถูกตอกย้ำด้วยการตีความและใช้อำนาจของ กระทรวงการคลัง และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ดูเหมือนจะเอื้อประโยชน์ให้สถาบันการเงิน โดยเปิดช่องให้คิดดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดที่ไม่เกิน 15% ต่อปี (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654) จนภาระดอกเบี้ยท่วมท้นและบั่นทอนเศรษฐกิจไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ คณะอนุกรรมาธิการการเงินฯ สภาผู้แทนราษฎร (นำโดย นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์) จึงได้เชิญผู้ว่าการ ธปท. มาชี้แจงหลายครั้งเกี่ยวกับ ดอกเบี้ยที่สูงกว่ากฎหมายกำหนด ล่าสุดในวันที่ 25 พ.ย. 68 ซึ่งในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า รากเหง้าของดอกเบี้ยสูงเกิดจาก คลังและ ธปท. ไม่ธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม กล่าวคือ
1. ภาระดอกเบี้ยที่สูงเกินจริง
ธปท. ได้อนุญาตให้สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลสูงถึง 25% ต่อปี (ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ณ วันที่ 10 ก.ค. 63 ข้อ 7 Effective rate ไม่เกิน 28% ต่อปี) ซึ่ง สูงกว่า อัตราสูงสุดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ม.654 ที่ 15% ต่อปี อย่างชัดเจน และยังเป็นการขัดต่อหลักการของ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ที่ต้องการให้ข้อสัญญาต่างๆ รวมถึงสัญญากู้ยืมเงิน มีความเป็นธรรม ไม่แอบแฝงเงื่อนไขที่เอาเปรียบผู้กู้จนเกินไป
ลองพิจารณาผลกระทบจากส่วนต่างของดอกเบี้ย 10% นี้
• หนี้ 100,000 บาท (ที่ 25%) : ประชาชนต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 25,000 บาท
• หนี้ 100,000 บาท (ที่ 15% ตาม ป.พ.พ.) : ดอกเบี้ยจะอยู่ที่เพียง 15,000 บาท
• ส่วนต่าง 10,000 บาทต่อปี นี้ แทนที่จะสูญเสียไปกับดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม กลับสามารถนำไป ชำระเงินต้น ได้ทันที ถ้าเป็นเช่นนี้ เงินต้นจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญทุกปี ซึ่งจะช่วยให้หนี้ครัวเรือนลดลงในเวลาได้เร็วขึ้นอย่างมาก
ในปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยโดยรวมสูงขึ้น ได้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อผู้กู้รายย่อย ซึ่งอาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ และการเสี่ยงต่อการล้มละลาย ซึ่งปัญหานี้เป็นผลโดยตรงจากการที่สถาบันการเงินได้รับ "สิทธิพิเศษ" ในการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่ควรจะเป็น
2. การค้ากำไรเกินควรและการถ่ายโอนความมั่งคั่ง
เป็นเรื่องน่าตระหนกที่ กระทรวงการคลัง และ ธปท. อนุญาตให้เรียกเก็บดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล (P-Loan) สูงถึง 25% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่เพียง 1% ทำให้เกิด ส่วนต่างดอกเบี้ย (Spread) กว้างถึง 24% ซึ่งสะท้อนการได้เปรียบเชิงโครงสร้างอย่างมหาศาลและเท่ากับการ ถ่ายโอนความมั่งคั่ง จากประชาชนผู้มีรายได้น้อย (ผู้กู้) ไปยังสถาบันการเงินขนาดใหญ่ แม้ว่าส่วนต่าง 24% นี้จะต้องนำไปหักลบ ต้นทุนความเสี่ยงสินเชื่อ (Credit Risk Cost) สำหรับ NPL แต่การกำหนดเพดานดอกเบี้ยที่สูงถึง 25% ก็ทำให้ธนาคารสามารถตั้งสำรองความเสี่ยงได้อย่างง่ายดายและยังคงเหลือ กำไรสุทธิในอัตราที่สูง
การอนุญาตให้สถาบันการเงินคงส่วนต่างกว้างขนาดนี้โดยอ้างความเสี่ยงสินเชื่อ จึงเป็นข้อถกเถียงที่เปิดช่องให้สถาบันการเงินทำกำไรอย่างมหาศาลบนความเดือดร้อนของประชาชน และนำมาซึ่งคำถามว่า ธปท. กำลังทำหน้าที่อย่างเป็นธรรม หรือเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ
3. การใช้อำนาจ ของกระทรวงการคลัง และ ธปท. อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ปัญหาที่หยั่งรากลึกที่สุด คือการที่กระทรวงการคลัง และ ธปท. อ้างอำนาจตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 พ.ศ. 2515 เพื่อออกประกาศอนุญาตให้สถาบันการเงินคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งการใช้อำนาจนี้เป็นที่น่าสงสัยในความชอบด้วยกฎหมายอย่างยิ่ง
3.1. ขัดต่อกฎหมายหลัก : โมฆะตาม ป.พ.พ.
ประกาศ ธปท. ที่อนุญาตให้เก็บดอกเบี้ยเกิน 15% นั้น ถือว่าขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 654 และ ฝ่าฝืน พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4(1) อย่างชัดแจ้ง ตามหลักกฎหมาย สัญญาใดที่มีข้อตกลงต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ย่อมตกเป็น "โมฆะ" ตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
ดังนั้น เมื่อข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ เท่ากับว่ามิได้มีการตกลงเรื่องดอกเบี้ยกันไว้เลย เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยก่อนผิดนัด และเงินที่ลูกหนี้ชำระมาแล้วต้องนำไป หักชำระเงินต้นทั้งหมด
3.2. ลำดับศักดิ์กฎหมาย ฝ่ายบริหารจะขัดฝ่ายนิติบัญญัติไม่ได้ ประกาศกระทรวงการคลัง และ ธปท. ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร อาศัยอำนาจตามประกาศคณะปฏิวัติ 58 มีลำดับศักดิ์ ต่ำกว่า ป.พ.พ. ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา)
ดังนั้น หลักการที่ว่า กฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่าจะขัดหรือแย้งกับกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าไม่ได้ ย่อมต้องนำมาใช้ ประกาศ ธปท. จึงไม่อาจใช้บังคับให้ขัดต่อ ป.พ.พ. มาตรา 654 ได้
3.3. ขัดต่อเจตนารมณ์ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58
ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 อนุญาตให้ กระทรวงการคลัง และ ธปท. กำหนด "เงื่อนไข" ได้เฉพาะกรณีเพื่อ “ความปลอดภัยและผาสุก” ของประชาชน เท่านั้น แต่การออกประกาศให้เก็บดอกเบี้ยเกิน ป.พ.พ. มาตรา 654 กลับกลายเป็นการมอบ “สิทธิพิเศษ” ให้สถาบันการเงินเรียกเก็บดอกเบี้ยแพง ๆ เพื่อ “ความผาสุกและความร่ำรวย” ของสถาบันการเงินเอง บนความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งถือเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ตนอ้างอิงอย่างสิ้นเชิง
ถึงเวลาแล้วที่ กระทรวงการคลัง และ ธปท. ต้องทบทวนอย่างจริงจังว่ากำลังทำหน้าที่เพื่อ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและประชาชน หรือกำลังเป็นเครื่องมือ เอื้อประโยชน์ ให้สถาบันการเงินเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม การที่อนุญาตให้เก็บดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนบุคคลสูงถึง 25% ต่อปี ซึ่ง เกินกว่าที่กฎหมาย (ป.พ.พ. ม.654) กำหนดไว้ที่ 15% นั้น ทำให้ประชาชนไม่สามารถหลุดพ้นจากวงจรหนี้สินที่กดทับ และเกิดความไม่เป็นธรรมสร้างความเดือดร้อนอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้ หนี้ครัวเรือนพุ่งสูง และนำไปสู่การ ผิดนัดชำระหนี้ จนเสี่ยงต่อการถูกฟ้องล้มละลาย
คนจำนวนมากไม่ได้ “เลวร้าย” หรือ “ตั้งใจเบี้ยวหนี้” แต่มาจากการที่ รายได้ไม่แน่นอนหรือสูญเสียรายได้ จากเศรษฐกิจชะลอตัว เมื่อต้องเจอ ดอกเบี้ย 25–28% ทำให้ลูกหนี้จ่ายแต่ดอกเบี้ยแทบไม่ถึงเงินต้น พอผิดนัดก็ถูกซ้ำเติม ด้วยดอกเบี้ยผิดนัดและค่าใช้จ่ายทางกฎหมายต่าง ๆ
ผลระยะยาว คือคนจำนวนมากติด "แบล็คลิสต์" ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อเริ่มธุรกิจ, การศึกษา, หรือโอกาสในอนาคตได้อีก การแก้ปัญหานี้จึงต้องอาศัยการ ลดเพดานดอกเบี้ยและปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นการ คืน "โอกาส" ให้กับคนทั้งรุ่น
การที่การที่กระทรวงการคลัง และ ธปท.อ้าง ประกาศคณะปฏิวัติ (ปว. 58) ที่มีศักดิ์ต่ำกว่ากฎหมายแม่บท เพื่อเรียกดอกเบี้ยเกินกำหนด จึงไม่เพียงเป็นการ ละเลยหลักนิติธรรม ไม่คุ้มครองสิทธิมนุษชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และยังแสดงถึงการฝักใฝ่กับอำนาจเผด็จการ และห่วงใยความร่ำรวยของสถาบันการเงิน (นายทุน) มากกว่าความทุกข์ร้อนของประชาชน
#ทวีสอดส่อง #หนี้ครัวเรือน #ดอกเบี้ยไม่เป็นธรรม #เศรษฐกิจไทย








