วันที่ 1 ธันวาคม 2568 ที่รัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงปัญหาในการรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติว่า ต้นตอของปัญหาในระบบราชการคือเรื่องของความไม่ใส่ใจและความชะล่าใจ ซึ่งนำไปสู่การไม่คิดว่าปัญหาจะเกิดขึ้น แม้ว่าระบบที่วางไว้จะดีอยู่แล้ว เช่น มีกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ซึ่งมีการวางระบบและแผนงานไว้ชัดเจน แต่ปัญหาที่แท้จริงคือการที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่นำกฎหมายดังกล่าวมาบังคับใช้ สิ่งที่ควรต้องปรับปรุงแก้ไขคือ นอกจากจะต้องวางโครงสร้างการบริหารจัดการที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต้องมีความรับผิดชอบ เพราะหากเจ้าหน้าที่ไม่มีความรับผิดชอบ พวกเขาก็จะไม่มีความสนใจและไม่ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้
นายพีระพันธุ์กล่าวต่อไปว่า เหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ (อุทกภัย) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกปี เพียงแต่ในปีนี้มีความหนักหนาและรุนแรงกว่าปกติมาก ที่ผ่านมา มักจะมีศูนย์หรือหน่วยงานที่รวบรวมข้อมูลเหล่านี้และแจ้งไปยังส่วนราชการทุกระดับ ตั้งแต่ระดับกระทรวงจนถึงระดับท้องถิ่นอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือทุกคนที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ และไม่ได้นำข้อมูลที่ได้รับมาวิเคราะห์และดำเนินการ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าข้อมูลของปีนี้มีความรุนแรงกว่ามาก ก็สามารถสั่งการดำเนินการได้ แต่ส่วนหนึ่งที่เกิดสถานการณ์ในวันนี้ขึ้น เพราะมีความไม่ใส่ใจกับข้อมูลเหล่านี้ และไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญ
นอกจากนี้ ในแง่ของกฎหมายภัยพิบัติ ควรจะมีการเสริมหรือปรับปรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรจะต้องมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องหากไม่ใส่ใจหรือปล่อยปละละเลยเพิกเฉยเช่นนี้ เพราะหากไม่มีบทลงโทษ เหตุการณ์เช่นนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก นายพีระพันธุ์ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ในกฎหมายภัยพิบัติฉบับปัจจุบัน ก็มีการกำหนดให้มีคณะกรรมการที่ต้องรับผิดชอบ และมีผู้บัญชาการกำหนดไว้แล้ว แต่ในช่วงที่ผ่านมา กลับไม่เห็นบทบาทของหน่วยงานที่รับผิดชอบนี้ขึ้นมาเลย กลายเป็นว่าท่านนายกต้องไปออกคำสั่งตั้งคนนั้นตั้งคนนี้ ทั้ง ๆ ที่มีกฎหมายตัวนี้อยู่แล้ว
นายพีระพันธุ์ระบุว่า หากตนได้เข้าไปขับเคลื่อนงานด้านการเมืองในส่วนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ คงจะต้องเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ในขณะเดียวกันในเชิงบริหารก็ต้องแก้ไขเรื่องของการบริหารจัดการที่รวดเร็วและเป็นระบบ พร้อมทั้งมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า
"ต้องยอมรับว่าเวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา ลำพังแต่หน่วยงานราชการอย่างเดียวไม่เพียงพออยู่แล้ว เรามีทีมกู้ภัยและหน่วยงานภาคเอกชนที่เข้ามาช่วย ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เพราะฉะนั้นจะต้องวางระบบทันทีว่าเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น จะต้องมีจุดลงทะเบียน และต้องมีการแบ่งโซนกันรับผิดชอบ ทุกคนที่เข้ามาจะต้องมาลงทะเบียนก่อน เมื่อมาถึงแล้ว ส่วนกลางก็จะรับรู้ว่ามีกี่ทีม กี่ชุด กำลังพลมีเท่าไร ใครรับผิดชอบตรงไหน คนที่มาช่วยก็จะรู้พื้นที่รับผิดชอบของตนเอง ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมพื้นที่สำหรับรองรับผู้ประสบภัย หรือจุดที่ต้องให้บริการกับทีมงานเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชนที่เข้ามาร่วมช่วยดำเนินการ เช่น เรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิง หรือเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องมีความพร้อม แต่จากการเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้จะเห็นได้ว่า เกิดความขาดตกบกพร่องแทบทุกเรื่อง" นายพีระพันธุ์ กล่าว







