วันที่ 28 พ.ย.68 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์ ระบุว่า...
แนะการเมืองยึดมติ กมธ. ปมผ่านแก้ รธน.วาระสอง เตือนอย่าชิงเหลี่ยมคู ขอให้กินทีละคำอย่าโลภอยากกินทีละกะละมัง หวั่นถูกคว่ำจบเห่ ย้ำฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ลงมติ ม.152 ดีกว่าซักฟอก 151 ชี้เวลาเหมาะอภิปรายช่วงสัปดาห์สุดท้าย มกรา 69 พูดเสร็จได้ยุบสภาเลย
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อนเมื่อ 27 พ.ย. 2568 โดยประเมินว่า ในเดือนธันวาคมนี้ รัฐบาลถูกรุมด้วยด่านปัญหาอย่างน้อย 3 ด่านใหญ่คือ ปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่ สงขลาและพื้นที่อื่นๆ การแก้ รธน. 60 บวกยุบสภา และปัญหาสแกมเมอร์ ดังนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ รวมทั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้านควรร่วมมือกันสะสางทีละปัญหาแบบกินทีละคำ ไม่ใช่อยากกินให้หมดทีละกะละมัง
ในส่วนการแก้ รธน.นั้น ต้องคำนึงถึงบทเรียนจากแก้ รธน. ปี 50 กับปี 60 ซึ่งแก้ได้เรื่องเดียวเท่านั้น คือที่มา สส. แต่ขณะนี้ในปี 2568 เมื่อนักการเมืองคิดการใหญ่แก้ รธน. รายมาตราไม่แตะหมวด 1 กับหมวด 2 ในการพิจารณาชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) ซึ่งตนขอเตือนว่า อะไรเป็นลาภมิควรได้ หรือพาให้ล้มทั้งกระดานแล้ว นักการเมืองย่อมรู้แก่ใจเป็นอย่างดี ก็ไม่ควรดื้อดันไป
อย่างไรก็ตาม การแก้ รธน. เมื่อผ่านวาระที่หนึ่งใช้เสียงข้างมาก ในจำนวนนี้มีเสียง สว.หนึ่งในสาม มาถึงวาระที่สองยึดเพียงเสียงข้างมากอย่างเดียว พอวาระสามลงมติทั้งฉบับจะผ่านหรือไม่ผ่าน ต้องใช้เสียงข้างมากบวก สว.หนึ่งในสามอีกด้วย ดังนั้น การแก้อะไรที่จะทำให้สำเร็จหรือถูกคว่ำทั้งฉบับนักการเมืองย่อมรู้ดี
"ดังนั้น อะไรก็ตามที่จะทำให้การแก้ รธน.ไม่สำเร็จ ซึ่งย่อมรู้ดีว่าจะโดนคว่ำ ทั้งที่การแก้ครั้งนี้ใกล้เคียงจะสำเร็จมากที่สุด แต่ระหว่างความสำเร็จกับความฉิบหายพอกัน เพราะถ้าไปเล่นเกมในที่ประชุมสภา จนพังขึ้นมาอีกนั้น ก็จบเห่กัน"
อีกทั้งกล่าวว่า การพิจารณาแก้ รธน.รายมาตราในชั้นกรรมาธิการและจะเร่งให้ผ่านมติวาระสองในสมัยประชุมวิสามัญวันที่ 10-11 ธ.ค.นี้ ดังนั้น การแปรญัตติในวาระสองรายมาตราต้องยึดการพิจารณาของคณะกรรมาธิการเท่านั้น เพราะถ้ามีปัญหาแค่มาตราเดียว เมื่อไปลงมติวาระสามทั้งฉบับ อาจจะพังครืนไปได้
นายจตุพร กล่าวว่า หากบางพรรคฝ่ายค้านเอาแต่ใจตัวเองในประเด็นเลือกตั้ง สสร.มาร่าง รธน. แล้ว ถ้า สว.ไม่ยกมือให้ในวาระสาม การแก้ รธน.ก็จบสิ้นลงอย่างเดียว แม้บางพรรคการเมืองชนะ ได้อธิบายอย่างสะใจในสภา แต่จะไม่ได้อะไรเลยกับการแก้ รธน. ครั้งนี้
"การแก้ รธน.ที่ให้เป็นฉบับดีที่สุดยังอยู่ไม่ได้เลย เคยมีสภาสนามม้าแก้ รธน.ปี 17 ก็ถูกฉีกในปี 19 ขณะที่ฉบับปี 40 ที่แก้มาอยู่ได้ 9 ปีก็ยังเละ มาถึงแก้ฉบับปี 60 แม้มีเรื่องมาตั้งแต่ต้น แต่คำถามพวงที่ไม่สบายใจถูกดึงออกไปแล้ว ส่วนเรื่องปฎิรูปองค์กรต่างๆ ทุกฉบับกำหนดไว้เช่นกัน เมื่อไม่ทำก็ไม่มีบทลงโทษ"
พร้อมทั้งกล่าวว่า การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการนั้น เมื่อนักการเมืองถกเถียงกันเพียงแค่วิธีการกำหนด สสร.แบบ 20 หยิบ 1 ในช่วงเกิดวิกฤตน้ำท่วมธันวาคมนี้ ประชาชนคงไร้อารมณ์ร่วมด้วยกับการชิงไหวชิงพริบของนักการเมืองที่เกินกว่าเหตุ ซึ่งจะลากให้การแก้ รธน. ต้องพังลง เพราะเหลี่ยมคูของพวกนักการเมืองจะนำพาไปสู่การดันให้เกิดยึดอำนาจก็ได้
"การแก้ รธน. ขอให้นักการเมืองเลือกกินทีละคำ ไม่ใช่กินทีละกะละมัง แต่นักการเมืองบางฝ่ายไม่ควรเล่นเหลี่ยมคู เป็นพวกหิวจัดอยากกินทีละกะละมัง ซึ่งกินไม่ได้อยู่แล้ว"
อีกทั้งกล่าวว่า เมื่อนักการเมืองวิตกในเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรม การซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ถ้าไปแตะในมาตรานี้แล้ว หากการแก้ รธน.ไปถึงขั้นการทำประชามติของประชาชน อาจจะไม่ได้รับมติให้เปิดประตูสู่การแก้ รธน.ด้วยซ้ำไป
“ถ้านักการเมืองถลำเข้าไป เอาแต่ตามใจตัวเองก็อาจกระทบกับการแก้ รธน. ต้องพังครืนก็ได้ เพราะไม่รู้ สว.จะเอาด้วยหรือเปล่า ด้วยเหตุนี้จึงขอให้นักการเมืองยึดหลักกินทีละคำ อย่ากินทีละกะละมัง”
นายจตุพร ย้ำถึงฝ่ายค้านจะอภิปรายฯ รัฐบาลว่า ควรยื่นอภิปรายทั่วไปไม่ลงมติตาม ม.152 ของ รธน. 60 จะดีกว่าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจตาม ม. 151 ซึ่งจะไม่ได้พูด เพราะรัฐบาลชิงยุบสภาก่อน
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการอภิปรายนั้น ควรเป็นสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม 69 เมื่อพูดเสร็จ ก็ยุบสภาทันทีเพื่อไปชิงชัยในสนามเลือกตั้งให้ประชาชนจะตัดสินว่าที่นายกฯ คนใหม่
“แต่ในสถานการณ์ถูกรุมล้อมมากมายทั้งเหตุการณ์ไทย-กัมพูชา น้ำท่วมเกิดวิกฤตหาดใหญ่ และยังมีปัญหาสแกมเมอร์ (นักการเเมือง) ควรตั้งหลักในการแก้ปัญหาในแต่ละเรื่องราว ซึ่งทุกเรื่องสามารถแก้ไขกันได้ทั้งนั้น”








