วันที่ 24 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ปี 2543 และ 2544 ระหว่างไทย–กัมพูชา เปิดเผยถึงการเดินทางมาทำเนียบรัฐบาล ว่า นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ได้เรียกมาหารือ ซึ่งคาดว่าจะเป็นเรื่องการยกเลิกเอ็มโอยู 2543-2444 แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นการพูดคุยเรื่องนี้หรือไม่
เนื่องจากตนเป็นหนึ่งในกรรมาธิการ (กมธ.) โดยระบุว่า รัฐบาลจะทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยูดังกล่าว ซึ่งกัมพูชารู้ว่าประเทศไทยกำลังทำประชามติ ถึงขนาดให้โฆษกกระทรวงยุติธรรม ออกมาระบุว่าฝ่ายไทยยกเลิกฝ่ายเดียวไม่ได้ แสดงว่าเขารับรู้ว่าเราประกาศเป็นนโยบาย
ส่วนรัฐบาลจะทำประชามติหรือไม่เป็นการตัดสินใจของรัฐบาล และการดีเบตในพื้นที่ 7 จังหวัดในขณะนี้ ที่จะจัดโดยกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าอยู่ภายใต้เงื่อนไขการทำประชามติหรือไม่ เพราะถ้าทำประชามติต้องประกาศการทำประชามติก่อน หลังจากนั้นกระบวนการให้ความรู้กับประชาชนจะเริ่มตามระบบที่กำหนดระยะเวลาไว้ 90 วัน แต่ปัญหาคือ ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ คืออยู่ภายใต้เงื่อนไขหรือไม่ และถ้ารัฐบาลตัดสินใจจะยุบสภาก่อนก็ไม่แน่ว่าจะได้ทำประชามติเรื่องนี้หรือไม่ จึงต้องกลับมาถามทางรัฐบาลว่าหากไม่ได้ทำประชามติ รัฐบาลจะเป็นผู้ประกาศยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับเองหรือไม่ ซึ่งเป็นจุดที่รัฐบาลจะต้องตัดสินใจ ตนเป็นเพียงส่วนหนึ่งในกรรมาธิการ
ขณะเดียวกัน ตนได้มอบหลักฐานให้กับกองทัพภาคที่ 2 โดยตรง ให้ระวังในพื้นที่พนมดงรัก แต่ช่วงช่องบก ช่องสะงำ ความยาว 195 กิโลเมตร ซึ่งไม่เคยมีหลักเขตแดนและไม่ต้องมี ซึ่งการสู้กันระหว่างไทยกัมพูชาในปี 2505 มีเอกสารหลักฐาน มีสนธิสัญญาฝรั่งเศส ไม่ใช่สันปันน้ำ หลังขอบหน้าผาที่ทะเลาะกันอยู่ จึงได้มีการยื่นเอกสารพร้อมคำแปล 151 หน้าให้กับกองทัพภาคที่ 2 และจะนำเสนอนายบวรศักดิ์ต่อไป
นายปานเทพ กล่าวว่า เราต้องไม่เปลี่ยนจุดยืนจากเดิมที่เคยทำให้ประเทศไทยอ่อนแอลง ก่อนย้ำว่า สิ่งที่ตกลงกันมาตั้งแต่ก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นอย่างไร ต้องคงเส้นคงวาอย่างนั้นไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการให้สัมภาษณ์เสร็จนายปานเทพ ได้เดินกลับโดยทันทีเนื่องจากนายบวรศักดิ์ เลื่อนการประชุมไปเป็นวันศุกร์ที่ 28 พ.ย.นี้







