วันที่ 19 พ.ย.68 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์ ระบุว่า...
เมื่อ 18 พ.ย. 2568 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน"ชัด ชัด!" โดยกล่าวถึงชะตากรรมทักษิณ ชินวัตร เกือบ 20 ปีตั้งแต่ถูกยึดอำนาจเมื่อปี 2549 กระทั่งได้กลับไทย 22 ส.ค. 2566 และสถานการณ์ปัจจุบันว่า ถูกใครกลั่นแกล้งให้เจ็บช้ำหรือตัวเองยอมรับความผิดจนต้องติดคุก 1 ปี
อีกทั้งกล่าวว่า พรรคเพื่อไทย กองเชียร์ และครอบครัวทักษิณ บอกเสียใจ เจ็บช้ำ ไม่ได้รับความยุติธรรมนั้น แต่ข้อเท็จจริงเมื่อเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา มีคนออกมาต่อสู้และปกป้องทักษิณ โดยตนเป็นคนหนึ่งที่อยู่ฝ่ายสนับสนุนทักษิณ จนมีคดีมากมายและขณะนี้คดียังไม่หมดสิ้น
เมื่อถูกยึดอำนาจ 19 ก.ย. 2549 ทักษิณหลบภัยอยู่ต่างประเทศ และขณะนั้นคนเชื่อว่า ทักษิณ ถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคณะยึดอำนาจตั้ง คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) จนเกิดปรากฎการณ์ตุลาการภิวัฒน์ขึ้นมา
หลังถูกยึดอำนาจ ทักษิณ กลับมาไทยครั้งหนึ่งและก่อนคดีซื้อที่ดินรัชดาจะถูกตัดสิน เขาได้หลบหนีออกนอกประเทศอีกครั้ง โดยอ้างไปดูกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ประเทศจีน พร้อมสัญญากับศาลจะกลับมา แต่ไปยาวนานร่วม 17 ปี ไม่กลับไทยเลย
เมื่อทักษิณ อยู่ต่างประเทศ เขาได้รับความนิยมจากคนไทยมากมาย มีเสียงเชิดชู ชื่นชมว่า เป็นนายกฯ ที่ดี มีผลงานมากมาย พร้อมๆกับคนปักใจเชื่อ เขาถูกคณะยึดอำนาจกลั่นแกล้ง จนสโลแกน "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งทุกครั้ง
ทันทีที่ทักษิณ กลับไทยเมื่อ 22 ส.ค. 2566 เขายื่นถวายฎีกาและถูกบันทึกลงในพระบรมราชโองการ โดยทักษิณ ยอมรับว่า เคารพต่อกระบวนการยุติธรรม ได้กระทำความผิดจริง และสำนึกจากการกระทำแล้ว ซึ่งความผิดเหล่านั้น ศาลได้ตัดสินล้วนเป็นคดีทุจริต
สิ่งสำคัญการบอกเคารพในกระบวนการยุติธรรม จึงไม่ได้เกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลที่ต่อเนื่องจาก คตส.และจากการยึดอำนาจ นอกจากนี้ยังยอมรับได้กระทำความผิดจริง ซึ่งไม่เกี่ยวกับระบอบการปกครองใด ไม่ว่าเป็นประชาธิปไตย หรือเผด็จการ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่านายกฯ มาจากกระบอกปืนหรือเลือกตั้ง แต่โกงก็คือโกง ทุจริตก็คือทุจริต และกระทำความผิดต่อหนาที่ราชการก็เป็นคดีเดียวกัน ข้อหาเหล่านี้ไม่มีข้อยกเว้นทั้งสิ้น
เมื่อทักษิณ ยอมรับเองว่า ได้ทำความผิดจริงแล้ว แสดงว่าประชาชนออกมาต่อสู้เพื่อทักษิณได้เข้าใจผิดกับความเชื่อว่า ทักษิณ ไม่ได้ทุจริต คอร์รัปชั่น แต่ข้อหาเป็นผลพวงจากการรัฐประหาร
"เมื่อเจ้าตัว (ทักษิณ) สารภาพว่า ทำความผิดจริง สำนึกแห่งการกระทำแล้วและเคารพในกระบวนการยุติธรรม เราจะเห็นเป็นอื่นจากคุณทักษิณได้อย่างไร เพราะการสารภาพของทักษิณ เป็นการสารภาพกับพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งถูกบันทึกอยู่ในพระบรมราชโองการ"
ดังนั้น การชุมนุมตั้งแต่ชื่อ นปก. ปี 2550 ต่อเนื่องชื่อ นปช.ปี 2552-2553 มีคนบาดเจ็บล้มตายติดคุกเป็นจำนวนมาก บางคนขณะนี้ยังอยู่ในเรือนจำ แม้สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีแนวความคิดเดิมต้องการนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชน ไม่เกี่ยวกับแกนนำ ในคดีชุมนุมทางการเมือง และไม่มีคดีทุจริตคอร์รัปชั่น
แต่การนิรโทษกรรมนั้นถูกขยายไปสุดซอย รวมถึงคดีทุจริตคอร์รัปชั่นได้รับผลประโยชน์ด้วย ตนทักท้วงอย่าได้ทำ เพราะทำลายความหวังเดียวของประชาชนที่อยู่ในเรือนจำ บางติดคุกตามศาลพิพากษา 33 ปี และตลอดชีวิตก็มี
"ความหวังเดียวที่เขาจะพ้นจากเรือนจำได้คือ การนิรโทษกรรมให้เฉพาะประชาชนทุกฝ่ายทั้ง นปช. และพันธมิตรฯ รวมถึงการชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆ เมื่อเปลี่ยนเป็นนิรโทษสุดซอยก็ต้องพังครื่นทันที แล้วประชาชนต้องติดคุก ตายในคุก บางคนติดคุกยาวนานเกินกว่า 8 ปี กว่าจะออกมาครอบครัวพินาศย่อยยับ หนี้สินล้นพ้นตัว ยากจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ"
อีกทั้งกล่าวว่า ตนเป็นคนหนึ่งสนับสนุนทักษิณ มีคดีมากที่สุด ขณะนี้โทษยังเหลืออยู่ในศาลชั้นต้นอีก 11 ปี และก่อนหน้านี้ติดคุกมาแล้ว 5 ครั้ง แต่ประชาชนที่ผ่านมาตายกันเป็นร้อย บาดเจ็บ 2,000 สูญสิ้นอิสรภาพนับกันไม่หวาดไม่ไหว ส่วนฝ่ายต่อต้านทักษิณ ติดคุก มีชีวิตล้มละลายสารพัดสารพัน
ในปัจจุบัน คดีของทักษิณ เมื่อศาลฎีกากลับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ในคดีภาษี โดยให้จ่ายคืนรัฐ 1.76 หมื่นล้านบาท และกรมสรรพากรมีหน้าที่ต้องปฎิบัติตามคำสั่งของศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสูงสุด คดีถือเป็นที่ยุติ
ในคดีนี้มีเรื่องราวมากมาย เพราะเป็นธุรกรรมไม่เหมือนการซื้อขายหุ้นทั่วไปตามที่ถูกยกมากล่าวอ้าง อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น อธิบดีกรมสรรพากรและเจ้าหน้าที่ระดับ ผอ.ฝ่ายกฎหมายถูกสั่งติดคุกแล้ว และตนได้เจอกันในเรือนจำ
นายจตุพร กล่าวว่า คดีภาษีของทักษิณนั้น มาจากการขายหุ้น 1 บาทแล้วไปขายต่อเทมาเส็ก 49 บาท แม้ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ยกฟ้องให้ทักษิณชนะ แต่ศาลฎีกากลับคำพิพากษาให้ทักษิณแพ้ ต้องจ่ายภาษีคืนรัฐ 1.76 หมื่นล้านบาท โดยหลายคนอาจมองเป็นเรื่องกลั่นแกล้ง แต่คำวินิจฉัยของศาลประกอบไปด้วยข้อเท็จจริงทางข้อกฎหมายมากมาย
"ในวันที่ตัวเอง (ทักษิณ) ชนะในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ในวันนั้นก็บอกว่ามีความยุติธรรม เมื่อฎีกาแพ้แล้วบอกไม่ยุติธรรม อย่างนั้นได้เหรอ"
ส่วนคดี ม.112 ของทักษิณ เมื่อพิจารณาจากเยาวชนถูกคดีในมาตราเดียวกัน ตามที่เป็นข่าวนั้น ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง อัยการฎีกา ซึ่งไม่ได้ยกเว้นหรือผิดปกติแต่อย่างใด ถ้าเทียบเคียงในคดีอื่น หรือคดีของตน ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ยกฟ้อง แล้วศาลฎีกากลับคำพิพากษาให้ติดคุก 1 ปี ก็เป็นกระบวนการปกติ
กล่าวเฉพาะคดี 112 ของทักษิณ ซึ่งเป็นการกระทำนอกราชอาณาจักร อัยการสูงสุดมีอำนาจพิจารณายื่นอุทธรณ์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอัยการยังยื่นอุทธรณ์คดีของเยาวชนในคดีเดียวกันเช่นกัน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่ยื่นอุทธรณ์คงเป็นเรื่องแปลก
"คนที่ต่อสู้ให้ทักษิณ ล้วนผ่านเรื่องราวคดีกันมากมาย ที่หนักที่สุดไปตายในเรือนจำ ถ้าวันนั้นนิรโทษกรรมให้เฉพาะประชาชน เคสที่เกิดกับพี่น้องมุกดาหาร ก็ไม่ได้ถูกบันทึกว่า เขาตายในเรือนจำ"
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อทักษิณ ยอมรับได้ทำความผิดจริงในคดีเดิมที่มีโทษจำคุกรวม 10 ปี ดังนั้น ในวันนี้ใครจะมองว่ากลั่นแกล้งก็ตาม แต่ถามว่าในวันเวลาที่ได้ประโยชน์ ซึ่งศาลยกฟ้องก็มีทัศนคติกันอีกอย่าง ส่วนการชดใช้ภาษีคืนรัฐ 1.76 หมื่นล้านบาท ต้องเป็นหน้าที่ของสรรพากรไปบังคับการชดใช้ และอัยการสูงสุดมีหน้าที่ตามสืบทรัพย์สินนอกราชอาณาจักร
อีกทั้งกล่าวว่า ตนต้องการให้พี่น้องแยกแยะการบริหารประเทศว่า เรื่องไปสร้างผลงานให้พี่น้องประชาชนเป็นเรื่องที่ดี แต่มิได้หมายความว่า ต้องไปทำเรื่องอื่นๆ อันเป็นประโยชน์ให้กับตัวเองได้
"ไม่ว่าใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีนายกฯ ชื่ออะไร เมื่อเข้ามาบริหารประเทศต้องมีหน้าที่รับใช้แก้ไขปัญหาให้ประชาชน รักษาผลประโยชน์ให้ประเทศ แต่จะเอาการทำหน้าที่เกิดประโยชน์กับประชาชนแล้วไปทำความผิดในส่วนอื่น แล้วไม่ต้องรับโทษ ก็ไม่ได้ นี่คือหลักการเมืองการปกครองตามปกติ”
พร้อมกับเปรียบเทียบว่า ตนต้องคดีเรื่องไฟไหม้ ศาลฎีกาพิพากษาว่า ตนพูดเหมือนทักษิณ แต่ยกฟ้องคนมีเงินอย่างทักษิณ แล้วลงโทษคนไม่มีเงินกับตน เพราะอ้างเหตุเป็นประธาน นปช. ซึ่งขณะเกิดเหตุตนไม่ได้เป็นประธาน นปช. แต่มาเป็นหลังจากนั้นอีก 4 ปี แต่ศาลสูงสุดตัดสินลงโทษไปแล้วจะทำอย่างไรเมื่อกระบวนการเป็นแบบนี้
ส่วนการพักโทษนั้น นายจตุพร กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับระเบียบของกรมราชทัณฑ์ เมื่ออัยการอุทธรณ์คดี 112 ของทักษิณ หากคดีอยู่ในชั้นศาลแต่ยังไม่ถึงที่สุดแล้วจะได้รับการพักโทษหรือไม่ ถ้าเทียบเคียงกับคดีบ้านสี่เสาและคดีอื่นๆ ของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งอยู่ในขั้นการพิจารณาของศาล แต่ราชทัณฑ์ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้มีการพักโทษได้ มีการติดกำไรอีเอ็ม
เมื่อเทียบเคียงกับกรณีของทักษิณ โดยวันนี้ พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม สั่งการให้ปลัดยุติธรรมตรวจสอบระเบียบตั้งแต่การส่งตัวนักโทษไป รพ. เรื่องการพักโทษต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามข้อสังเกตุของ ปปช.
ในกรณีการพักโทษนั้น ระเบียบโดยรวมต้องจำคุก 1 ใน 3 หรือ 6 เดือน หรือ 8 ปีถ้ามีโทษสูง ส่วนโทษจำคุก 1 ปีต้องถูกขังคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือนจึงมีสิทธิ์ขอทำเรื่องพักโทษได้
แต่ศาลฎีกานักการเมืองวินิจฉัยว่า ทักษิณยังไม่ถูกขังคุกแม้วันเดียวจากพระบรมราชโองการให้ลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี จึงต้องถูกจำคุกใหม่ 1 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่กลับไทยเมื่อ 22 ส.ค. 2566 แล้วส่งไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจนั้น ยังไม่ถูกคุมขังเลยแม้แต่วันเดียว และคำวินิจฉัยของศาลฎีกานักการเมืองระบุไว้ เสมือนทักษิณ เป็นผู้สนับสนุนตัวการ
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ทางราชทัณฑ์จะกล้าสั่งให้ทักษิณ พักโทษได้หรือไม่ เพราะในคดีเดียวกันนี้ มีการหลบเลี่ยงไม่ได้รับโทษจริง แล้วคดีก็อยู่ใน ปปช. โดยตั้งข้อกล่าวหาไต่สวนเจ้าหน้าที่ 12 คน รวมทั้งจะขยายผลตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาเพิ่มเติมอีก
"ทางการข่าวคาดว่า ไม่เกินต้นเดือนธันวาคมนี้ ในส่วน 12 คนแรกจะส่งตัวฟ้องศาล ส่วนการขยายผลนั้น คาดว่าจะอยู่ช่วงก่อนปีใหม่หรือหลังปีใหม่ คาบเกี่ยวเล็กน้อย คดีเหล่านี้จะขยายผลไป แล้วยังไม่นับรวมถ้ามีคนร้องว่า การยื่นถวายฎีกาครั้งแรก ที่ตามคำวินิจฉัยของศาลว่า ยังไม่ถูกขังคุกสักวันนั้น ทักษิณ มีสิทธิ์ยื่นถวายฎีกาหรือไม่ ดังนั้น แต่ละเรื่องจึงเป็นวิบากกรรม”
นายจตุพร กล่าวว่า คนที่ร่วมขบวนการเดียวกันกับทักษิณ หรือคนที่ต่อสู้เพื่อทักษิณมานั้น เกือบร่วม 20 ปีผ่านมา ต่างคนต่างรับชะตากรรมกันไม่รู้สักเท่าไร ดังนั้น คำว่าเจ็บช้ำ เสียใจ ไม่ได้รับคำยุติธรรมนั้น เขาพูดมานานแล้วเพียงแต่ว่า ได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม รวมทั้งตนพูดเสมอมาว่า วันนี้ทักษิณ คงได้ซึมซับความรู้สึกกับคนไปตายให้ทักษิณกันบ้าง
แต่บัดนี้โทษ 1 ปีและการยื่นอุทธรณ์ในคดี 112 เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับคนที่สู้ให้กับทักษิณมา ดังนั้น การพยายามอธิบายปลุกปั่นกันเรื่องความไม่ยุติธรรม ทั้งที่มันจบลงที่ตัวทักษิณเอง ที่ยอมรับว่ากระทำความผิดจริง เคารพกระบวนการยุติธรรม และสำนึกแห่งการกระทำแล้ว
ดังนั้น เรื่องการพักโทษจึงไม่ใช่เรื่องที่ง่าย โดยราชทัณฑ์ต้องคิดมากกว่าปกติ เพราะต้องนำคำวินิจฉัยของศาลฎีกานักการเมืองมาเป็นองค์ประกอบตัดสิน และถ้า ปปช.ยื่นฟ้องศาลฎีกานักการเมืองอีก จะทำให้สถานการณ์ของทักษิณ ไปไกลกันอีกมาก หากแม้จะมีสิทธิ์ได้รับการพักโทษ แต่ใครจะกล้าให้พักโทษ ซึ่งนักโทษมีสิทธิ์ได้พักโทษ แต่ไม่ได้พักโทษก็เคยมีมากมาย
"ทักษิณ ได้รับโทษน้อยมากเมื่อเทียบกับคนที่ต่อสู้เพื่อทักษิณ แต่ในวันที่สูญเสียกับวันที่ได้นั้น ลองไปเทียบเคียงกันดู ท้ายที่สุดนั้นถ้าจะตำหนิใครสักคน ไม่ว่าใครทั้งนั้น ผมว่าควรตำหนิตัวเองนั้นแหละเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด"
พร้อมทั้งกล่าวว่า ตั้งแต่ทักษิณ ติดคุกตนพูดถึงน้อยมาก เพราะไม่อยากซ้ำเติม แต่เมื่อมีประเด็นปลุกปั่นกันถึงขนาดว่า ขับไล่คนดี มีความรู้ ความสามารถออกนอกประเทศ โดยความเป็นจริงแล้วทักษิณ ออกไปเอง และไม่เคยมีใครเคยห้ามทักษิณ ไม่ให้กลับมาไทยด้วย
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อมีการปั่นเรื่องคนดีมีความสามารถแล้ว จะเกิดแรงกระเพื่อมถัดจากนี้ไปในส่วนของพรรคเพื่อไทยเองในบรรดา สส.ของพรรค ใครใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ที่จะเดินออกจากพรรคเพื่อไทย หรือใครจะอยู่ต่อภายใต้สถานการณ์ข้างหน้านี้
อย่างไรก็ตาม บางคนบอกว่า เป็นการป้องกันไม่ให้ทักษิณ ออกมาหาเสียง ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หากเลือกได้นักการเมืองอยากได้อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร มานำทัพหาเสียง เพราะจะได้สู้กันง่าย ดังนั้น วิบากกรรมในวันนี้และที่ผ่านมาเกือบ 20 ปีก็ไม่ได้ทำให้ง่ายเหมือนเดิมอีกแล้ว ลองไปคิดอ่านกันดู
#จตุพร #ทักษิณ #การเมืองไทย #วิเคราะห์การเมือง #ข่าวการเมือง #คดีทักษิณ







