เส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชามีความยาวตลอดแนวประมาณ 798 กิโลเมตร โดยสามารถแบ่งลักษณะของแนวเขตแดนออกได้เป็น 3 ประเภท คือ แนวเขตที่อิงตามสันปันน้ำ ซึ่งยาวประมาณ 524 กิโลเมตร, แนวเขตที่อิงตามลำน้ำ ยาวประมาณ 216 กิโลเมตร, และแนวเขตที่เป็นเส้นตรงระหว่างหลักเขตแดน ยาวประมาณ 58 กิโลเมตร การกำหนดแนวเขตแดนนี้มีที่มาจากข้อตกลงสำคัญทางกฎหมายระหว่างสยามและฝรั่งเศสในอดีต โดยมีการจัดทำหลักฐานสำคัญทางกฎหมาย ได้แก่ อนุสัญญา วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904 และ สนธิสัญญา วันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 รวมถึงแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดน มาตราส่วน 1 : 200,000 รวม 7 ระวาง และบันทึกวาจาการปักหลักเขตแดนและแผนผังแสดงตำแหน่งหลักเขตแดน
กระบวนการปักปันเขตแดนได้แบ่งออกเป็น 2 ห้วงเวลาสำคัญ ห้วงแรกเกิดขึ้นภายหลังการลงนามอนุสัญญาในปี ค.ศ. 1904 โดยมีการตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนชุดแรก ซึ่งมี พลตรีหม่อมชาติเดชอุดม เป็นประธานฝ่ายสยาม และพันโท Bernard เป็นประธานฝ่ายฝรั่งเศส ในห้วงนี้มีการจัดทำแผนที่แนวเขตแดน 5 ระวาง แต่ยังไม่มีการปักหลักเขตแดนในพื้นที่จริง ขณะนั้น เมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ยังอยู่ในอาณาเขตของสยาม
ส่วนห้วงที่สองเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1907 เมื่อสยามและฝรั่งเศสทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนดินแดน โดยสยามยกพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศส และฝรั่งเศสยกด่านซ้าย ตราด และเกาะต่าง ๆ ใต้แหลมสิงห์ถึงเกาะกูด ให้สยาม ในห้วงนี้มีการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ โดยมี พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นประธานฝ่ายสยาม และพันตรีมองแกร์ (Montguers) เป็นประธานฝ่ายฝรั่งเศส คณะกรรมการได้จัดทำแผนที่เพิ่มอีก 5 ระวาง พร้อมยกเลิกแผนที่เดิม 3 ระวางในพื้นที่แลกเปลี่ยนดินแดน ทำให้คงเหลือแผนที่ที่ใช้เป็นหลักฐานถึงปัจจุบันจำนวน 7 ระวาง
สำหรับการปักหลักเขตแดนในพื้นที่จริงนั้น ได้เริ่มขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1908–1909 โดยแรกเริ่มมีการใช้ต้นไม้หรือเสาไม้เป็นหลักเขต ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนมาเป็นหลักคอนกรีต ในช่วงปี ค.ศ. 1919–1920 แต่เดิมนั้น แนวคิดการกำหนดหลักเขตแดนคือ หลักแดนปูน 73 หลัก โดยมีหลักย่อย 2 หลัก คือ 22A และ 22B รวมเป็น 75 หลัก ทว่าเนื่องจากหลักที่ 22A และ 22B อยู่ใกล้กันมาก จึงมีการตัด 22A ออกไปในช่วงปี ค.ศ. 1919–1920 ดังนั้น โดยสรุปแล้ว หลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาจึงมี 74 หลัก คือ หลักที่ 1 ถึงหลักที่ 73 และหลัก 22B อีก 1 หลัก
จุดเริ่มต้นของหลักเขตแดนคือ หลักเขตแดนที่ 1 บริเวณอำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ และจุดสิ้นสุดคือ หลักเขตแดนที่ 73 บริเวณอำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด อย่างไรก็ตาม พื้นที่ในส่วนจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดอุบลราชธานีนั้น ไม่มีการปักหลักเขต เนื่องจากอยู่ในขอบเขตการปักปันชุดแรกที่ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดน โดยระยะทางชายแดนทางบกจากช่องบกถึงหลักเขตแดนที่ 73 รวม 798 กิโลเมตร และระยะทางจากหลักเขตแดนที่ 1 ถึง 73 มีความยาว 602 กิโลเมตร
หลักเขตแดนทั้ง 74 หลักนี้ถูกจัดวางตามลักษณะภูมิประเทศ โดยเป็นไปตามสันปันน้ำ 34 หลัก, ตามแนวลำน้ำ 19 หลัก, และเป็นเส้นตรงระหว่างหลักต่อหลัก 21 หลัก ในการเห็นชอบร่วมกันนั้น หลักเขตที่ไทยกับกัมพูชาเห็นตรงกันมี 45 หลัก โดยแบ่งเป็นสันปันน้ำ 15 หลัก, เส้นตรง 12 หลัก, และเป็นคลอง 18 หลัก ขณะที่หลักเขตที่เห็นไม่ตรงกันมี 29 หลัก (รวมหลัก 22B) แบ่งเป็นสันปันน้ำ 18 หลัก (รวม 22B), และเป็นเส้นตรง 11 หลัก
ในสถานการณ์ปัจจุบัน หลักเขตแดนเดิมบางส่วนอาจสูญหาย ถูกทำลาย หรือถูกเคลื่อนย้าย อีกทั้งการตั้งอยู่ห่างกันมากทำให้บางพื้นที่ไม่มีความชัดเจน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ไทยและกัมพูชาจึงได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) เพื่อดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตลอดแนวให้ชัดเจน โดยอิงตามหลักฐานทางกฎหมายดั้งเดิม
ทั้งนี้ ประเด็นที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ คือการรุกคืบเพื่อขยับ "หลักเขตแดนที่ 73" ซึ่งเป็นหลักเขตสุดท้ายบนบก นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่แท้จริงของกัมพูชาไม่ใช่เพียงเรื่องแนวชายแดนบนบก แต่เป็นการหวังจะเปลี่ยนเส้นแนวเขตแดนทางทะเล ซึ่งจะส่งผลต่อการอ้างสิทธิการครอบครองพื้นที่ทางทะเลในบริเวณที่ยังเป็นข้อพิพาทระหว่างทั้งสองประเทศ และเป็นแหล่งทรัพยากรพลังงานใต้ทะเลมูลค่ามหาศาล
มุมมองนี้สอดคล้องกับ พล.ท. กนก เนตระคะเวสนะ อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้มีประสบการณ์สู้รบโดยตรง โดยเห็นว่า การสู้รบตามแนวชายแดนบนบกโดยเฉพาะบริเวณเขาพระวิหาร อาจเป็นเพียงการไล่ตามเพื่อขยับหลักเขตแดนที่ 73 บริเวณชายหาด เนื่องจากหากหลักเขต 73 เคลื่อนขึ้นไปทางเหนือแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะส่งผลให้เส้นเขตแดนบนแผนที่ 1:200,000 ขยับตามไปด้วย ซึ่งจะทำให้กัมพูชาได้พื้นที่ในทะเลมากขึ้น และส่งผลให้พื้นที่พลังงานใต้ท้องทะเลที่โต้แย้งกับไทยอยู่กลายเป็นของกัมพูชามากขึ้นตามไปด้วย ถือเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งจัดการ
จากการตั้งข้อสังเกตข้างต้น เรื่องราวของหลักเขตแดนจึงเปรียบเหมือนเส้นเชือกที่ขึงตึงระหว่างสองบ้าน แม้เส้นเชือกส่วนใหญ่จะตกลงกันได้ แต่จุดปลายสุดของเชือก (หลักเขต 73) หากขยับไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจขยายขอบเขตอำนาจไปสู่พื้นที่กว้างใหญ่ในทะเล ซึ่งมีทรัพยากรซ่อนอยู่ จึงเป็นสาเหตุที่หลักเขตแดนเล็ก ๆ หลักสุดท้ายบนบกมีความหมายต่อผลประโยชน์ของชาติในทะเล








