วันที่ 16 พ.ย.2568 นายอัษฎางค์ ยมนาค อินฟลูเอนเซอร์การเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุกส่วนตัว ระบุว่า
"เมื่ออเมริกาใช้ 'กำแพงภาษี' หยุดสงคราม: เกมบีบไทยและยุทธศาสตร์ 'ครอบครัวเดียวกัน' ของจีน"
ขอสอนวิชาการทูตกับนักการทูต:
"ท้าทายทรัมป์ แล้วได้อะไร? ถอดรหัสการตัดสินใจ 'เสียงแข็ง' ของอนุทิน: คุ้มค่าหรือไม่กับการแลกความมั่นคงด้วยเศรษฐกิจ"
รัศม์ ชาลีจันทร์ อดีตทูตและผู้ช่วยรมว.กต." โพสต์ถาม "อนุทิน" ท้าทายเขา แล้วได้อะไร ทรัมป์จัดให้แล้ว ระงับชั่วคราวเจรจาภาษี แบบนี้ใครรับผิดชอบ?
ผมไม่เคยเป็นทูตหรือข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ แต่ผมเชื่อว่า กรณีที่นายกรัฐมนตรีอนุทินมีท่าทีที่ "เสียงแข็ง" ต่อประธานาธิบดีทรัมป์ จนนำมาซึ่งการระงับการเจรจาภาษีนั้น
มีเป็นไปได้สูงมาก ที่ท่านได้รับการปรึกษาหารืออย่างรอบด้าน
ตามหลักการบริหารราชการแผ่นดินและงานด้านความมั่นคงในระดับประเทศนั้น นายกรัฐมนตรีจะได้รับข้อมูลและคำปรึกษาจากหน่วยงานหลักก่อนการแสดงท่าทีอย่างเป็นทางการต่อผู้นำมหาอำนาจ โดยเฉพาะในประเด็นที่ละเอียดอ่อนอย่างความมั่นคงและเศรษฐกิจ
• กระทรวงการต่างประเทศ (กต.): ให้ข้อมูลภูมิหลังด้านการทูตและผลกระทบของ "ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์" รวมถึงประเมินปฏิกิริยาของสหรัฐฯ และมาเลเซีย
• กระทรวงพาณิชย์/หน่วยงานการค้า (USTR): ให้ข้อมูลผลกระทบทางเศรษฐกิจและมูลค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการระงับเจรจาภาษี
• สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และกระทรวงกลาโหม: ให้ข้อมูลยืนยันเรื่องทุ่นระเบิดใหม่ การละเมิดของกัมพูชา และประเมินความเสี่ยงหากไทยต้องตอบโต้ทางทหาร
ท่าที "เสียงแข็ง" ของนายกฯ อนุทิน เป็น "การกระทำที่จงใจ" โดยมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ดังนี้:
1. เพื่อยกระดับความจริงจังของไทย:
การแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยและการยอมรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ เป็นการส่งสัญญาณที่หนักแน่นที่สุดไปยังสหรัฐฯ ว่าไทยไม่ได้ล้อเล่นในประเด็นอธิปไตย และการกระทำของกัมพูชามีหลักฐานที่หนักแน่น
2. เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง:
การโต้ตอบอย่างเด็ดขาด เป็นการ บีบให้สหรัฐฯ ต้องรับฟังจุดยืนของไทย และให้ความสนใจกับหลักฐานการละเมิดของกัมพูชา ซึ่งท้ายที่สุดก็ทำให้ทรัมป์เปลี่ยนท่าทีมาเชื่อมโยงการลดภาษีกับการ "ไม่ขัดขวางการเก็บกู้ทุ่นระเบิด" ของไทย
การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีอนุทิน เป็นความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเมืองหลายด้านพร้อมกัน
1. การเมืองภายใน:
การแสดงความเด็ดขาดในการปกป้องทหารและอธิปไตย เป็นการ สร้างความชอบธรรมและคะแนนนิยม จากประชาชนและกองทัพที่กำลังไม่พอใจกัมพูชา
2. การทูต:
เป็นการใช้ความเสี่ยง เพื่อกดดันให้สหรัฐฯ หันมาสนใจประเด็นหลักของไทย (การละเมิดของกัมพูชา)
"การท้าทายแล้วได้อะไร?" คำตอบในเชิงภูมิรัฐศาสตร์คือ "ได้ความสนใจที่จำเป็นและได้เปลี่ยนประเด็นจากการที่ไทยถูกกดดัน ไปเป็นการที่สหรัฐฯ ต้องมาต่อรองกับไทย"
ประเทศไทยมีความสำคัญต่อสหรัฐฯ อย่างยิ่งยวดในหลายมิติ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้อำนาจต่อรองของไทยมีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อถูกกดดันจากประเด็นอื่น
ความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของไทยต่อสหรัฐฯ
ความสำคัญของไทยมาจากสามปัจจัยหลัก
1. ตำแหน่งที่เป็นจุดศูนย์กลางของอาเซียน (Geographic Centrality)
• ศูนย์กลางทางบก: ไทยตั้งอยู่ตรงกลางของคาบสมุทรอินโดจีน เป็นประตูเชื่อมต่อทางบกที่สำคัญที่สุดระหว่างประเทศในอาเซียนภาคพื้นทวีป (เมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย)
• เส้นทางคมนาคม: การควบคุมหรือมีอิทธิพลเหนือไทยเท่ากับมีอิทธิพลเหนือ เส้นทางบกและทางรถไฟ/ถนน ที่เชื่อมโยงเข้าสู่จีนตอนใต้และมหาสมุทรอินเดีย
• การเข้าถึงทะเล: ไทยมีชายฝั่งติดทั้งทะเลอันดามัน (มหาสมุทรอินเดีย) และอ่าวไทย (ทะเลจีนใต้) ทำให้เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการควบคุม การไหลเวียนของสินค้าและทหาร ระหว่างสองมหาสมุทรสำคัญในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
2. พันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย (Long-Standing Alliance)
• สนธิสัญญาพันธไมตรี: ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ทำสนธิสัญญาพันธไมตรีกับสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1833 และเป็น พันธมิตรสนธิสัญญา นอกเหนือจากฟิลิปปินส์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
• ความร่วมมือทางทหาร: ทั้งสองประเทศมีการฝึกซ้อมทางทหารร่วมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอย่าง "คอบร้าโกลด์" (Cobra Gold) มายาวนาน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการรักษาความสามารถในการปฏิบัติการร่วมกัน และการคงอยู่ของอิทธิพลทางทหารของสหรัฐฯ ในภูมิภาค การสูญเสียพันธมิตรเช่นไทยจะส่งผลกระทบต่อ ยุทธศาสตร์การป้องกันส่วนหน้า (Forward Defense) ของสหรัฐฯ
3. หมากสำคัญในการถ่วงดุลอำนาจกับจีน (Balancing China)
• ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก: ในยุคของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ยุทธศาสตร์หลักของสหรัฐฯ คือการ สกัดกั้นอิทธิพลของจีน ไม่ให้ขยายตัวมากเกินไป
• ความจำเป็นในการคงอยู่ของไทย: การที่ไทยมีความสัมพันธ์แบบ "การทูตไม้ไผ่" (Bamboo Diplomacy) คือการคบค้ากับทุกฝ่าย ทำให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องรักษาไทยให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่เป็นมิตร มากกว่าที่จะผลักไทยออกไปสู่การพึ่งพาจีนมากขึ้น (โดยเฉพาะเมื่อจีนเพิ่งเสนอสถานะ "ครอบครัวเดียวกัน" มาให้)
• การยอมอ่อนข้อ: การที่ทรัมป์ยอมเปลี่ยนท่าทีมา ต่อรอง (โดยเชื่อมโยงภาษีกับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของไทย) แทนที่จะคงการกดดันแบบฝ่ายเดียว เป็นสัญญาณว่าสหรัฐฯ ตระหนักดีว่าหากพวกเขาทำให้ไทยผิดหวังหรือได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ไทยก็จะ เอนเอียงเข้าหาจีน มากขึ้น ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่สหรัฐฯ ต้องการหลีกเลี่ยงที่สุดในเกมภูมิรัฐศาสตร์
สรุป:
การที่นายกรัฐมนตรีอนุทินสามารถท้าทายและเปลี่ยนเกมการกดดันได้นั้น ไม่ได้มาจากการทูตแบบตัวต่อตัวเท่านั้น แต่มาจาก "มูลค่าทางยุทธศาสตร์" ที่ไทยถือครองอยู่ในมือ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหามาทดแทนได้ง่ายในภูมิภาคนี้"







