การเมืองทั่วไป

“พีระพันธุ์-พล.ท.กนก” ชี้ กัมพูชา จ้องขยับ “หลัก 73” เปลี่ยนแนวเส้นเขตแดน หวังฮุบทรัพยากรพลังงานใต้ทะเล หนุนไทยเปิดเกมรุกตอบโต้

แชร์ข่าว

วันที่ 15 พ.ย. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมสนทนาเชิงลึกกับ พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ซึ่งมีประสบการณ์สู้รบกับกัมพูชาโดยตรง เพื่อแสวงหาแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยืดเยื้อมานาน รวมถึงการยุติปัญหานี้อย่างเด็ดขาด

นายพีระพันธุ์ และ พล.ท. กนก มีมุมมองตรงกันว่า ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่สอดคล้องในการใช้แผนที่ระหว่างการทำงานในแต่ละระดับ โดยในทางทหารนั้น ทหารไทยและทหารกัมพูชามักใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งทำให้เรื่องเขตแดนไม่ค่อยมีปัญหา แต่เมื่อใดก็ตามที่เรื่องเข้าสู่การเจรจาระหว่างประเทศผ่านกระทรวงการต่างประเทศ กัมพูชาจะเปลี่ยนไปใช้แผนที่ 1:200,000 ทันที และที่น่าแปลกใจ ก็คือ กระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ยังคงยึดถือแผนที่ 1:200,000 โดยไม่มีการประสานงานหรือใช้ข้อมูลร่วมกับกองทัพแต่อย่างใด

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ไทยบางส่วนยังกลัวการประท้วงจากกัมพูชา และปัญหาที่มีอยู่ทุกวันนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่ไทยประเมินสถานการณ์ผิดพลาด โดยเราตกลงให้ใช้กำลังประจำถิ่น ซึ่งของไทยคือ ทหารพรานและ ตชด. ขณะที่ของกัมพูชามีลักษณะเป็นกองพล ทำให้ไทยเสียเปรียบและไม่ทันเกม

นายพีระพันธุ์ ได้ตั้งข้อสังเกตที่สำคัญว่า เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่แท้จริงของกัมพูชาไม่ใช่เรื่องแนวชายแดนบนบก  แต่เป็นการรุกคืบเพื่อขยับหลักเขตที่ 73 ซึ่งเป็นหลักเขตสุดท้ายบนบก เพื่อหวังจะเปลี่ยนเส้นแนวเขตแดนทางทะเล อันจะส่งผลต่อการอ้างสิทธิการครอบครองพื้นที่ทางทะเลในบริเวณที่ยังเป็นข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา และเป็นแหล่งทรัพยากรพลังงานใต้ทะเลมูลค่ามหาศาล โดยตนได้ติดตามเรื่องนี้มาตลอดในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน  และถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องเร่งจัดการ

ด้าน พล.ท. กนก ได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การสู้รบหรือความพยายามรุกคืบเข้ามาตามแนวชายแดนบนบก โดยเฉพาะบริเวณเขาพระวิหารนั้น อาจเป็นเพียงการไล่ตามเพื่อขยับ "หลักเขตแดนที่ 73" บริเวณชายหาด เนื่องจากหากหลักเขต 73 เคลื่อนขึ้นมาทางเหนือ แม้เพียงเล็กน้อย ก็จะส่งผลให้เส้นเขตแดนบนแผนที่ 1:200,000 ขยับตามไปด้วย และจะทำให้กัมพูชาได้พื้นที่ในทะเลมากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่พลังงานใต้ท้องทะเลที่โต้แย้งกับไทยอยู่เป็นของกัมพูชามากขึ้นตามไปด้วย

นายพีระพันธุ์ระบุว่า นอกจากแผนบนบกแล้ว กัมพูชายังใช้เทคนิคในการถมทะเลและสร้างสะพานหรือส่วนต่อยื่นจากแผ่นดินตั้งแต่ปี 2540 โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันคลื่น แต่ทางปฏิบัติอาจทำให้เขตแดนทางทะเลของกัมพูชาย้ายจุดจากชายหาดไปอยู่ตรงปลายแหลมที่ถม ซึ่งกระทบกับเส้นแบ่งเขตแดน ไทยทราบเรื่องนี้และได้ประท้วงสองครั้งในปี 2541 แต่เรื่องหายเงียบไป ก่อนจะมาประท้วงอีกครั้งในปี 2564 และ 2568 ซึ่งการประท้วงไม่เป็นผลและกัมพูชาดำเนินการก่อสร้างจนเสร็จสิ้น

พล.ท. กนก ยังให้ข้อสังเกตถึงปัญหาอุปสรรคจากฝ่ายไทยว่า  ผู้รับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมักมีความลังเล กลัวที่จะมีเรื่อง ทำให้ขาดความเด็ดขาด ในขณะที่กัมพูชาไม่เคยกลัวการมีเรื่องกับไทย นอกจากนี้ กัมพูชามีการเตรียมพร้อมและจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างต่อเนื่อง มีความพร้อมมากขึ้นกว่าสมัยก่อน จริงอยู่ว่าไทยมีความพร้อมมากกว่า แต่มีข้อจำกัด เช่น การจัดทำงบประมาณของไทยมักจะคิดแบบเพิ่มขึ้นปีละ 10% แต่ไม่ได้คิดถึงภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งหากไม่มีการเตรียมการป้องกันในพื้นที่ทะเลอย่างจริงจัง ไทยอาจไม่ทันเกม และจะส่งผลให้เกิดความสูญเสียไม่เพียงแค่เขตแดนในทะเล แต่ยังรวมถึงทรัพยากรพลังงานของประเทศด้วย

นอกจากนี้ อุปสรรคสำคัญที่สุดในการจัดการปัญหาอย่างเด็ดขาดก็คือ กฎการใช้กำลัง (Rules of Engagement: ROE) ซึ่งเป็นกฎที่กองทัพไทยตั้งขึ้นเองตั้งแต่ในอดีตและยังไม่มีการแก้ไข กฎดังกล่าวเป็นการล็อกให้หน่วยทหารต้องใช้กำลังในลักษณะตั้งรับเท่านั้น เช่น ถ้าข้าศึกไม่ยิง เราไม่ยิง  หรือ ถ้าเขาใช้ปืนเล็ก เราก็ใช้ปืนเล็ก กฎนี้ทำให้ทหารไทยขาดอำนาจในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการรบแบบตั้งรับมีแต่จะเสีย ไม่สามารถชนะได้ ซึ่งทหารไทยทำงานบนสมมติฐานว่าคู่ต่อสู้เป็นสุภาพบุรุษ แต่กัมพูชาไม่ใช่

นายพีระพันธุ์ และ พล.ท. กนก ยังเห็นพ้องกันว่า การปะทะที่กัมพูชาจุดประเด็นขึ้น มักมีเป้าหมายเพื่อนำเรื่องไปสู่ศาลโลก และหากการกระทำของกัมพูชาที่เข้าข่ายอาชญากรสงคราม เช่น การยิง BM-21 ใส่โรงเรียนหรือหมู่บ้าน รัฐบาลไทยต้องดำเนินการเอาผิดและให้กัมพูชารับผิดชอบ แต่เรื่องนี้กลับไม่เคยถูกนำมาเป็นข้อกำหนดในปฏิญญาสันติภาพ

ส่วนแนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะนั้น ทั้ง พล.ท. กนก และนายพีระพันธุ์  มีความเห็นตรงกันว่า กองทัพบกต้องมองภาพยุทธการใน 3-5 ปีข้างหน้าอย่างชัดเจน และหากทหารพร้อม กองทัพพร้อม ควรใช้ยุทธศาสตร์แบบ "รุก" ทั้งบนบกและในทะเล เพื่อให้ปัญหาจบลง นอกจากนี้ กองทัพไทยควรเร่งปรับแก้กฎการใช้กำลังให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และต้องรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบเพื่อดำเนินการ เพราะการตัดสินใจขั้นสูงสุดในการใช้ยุทธศาสตร์รุกต้องมาจากผู้มีอำนาจตัดสินใจ คือ นายกรัฐมนตรี รวมถึงต้องเร่งเสนอขอปรับปรุงงบประมาณสำหรับปีถัดไป โดยพิจารณาถึงกำลังพลและอาวุธที่จำเป็นจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริง

พล.ท. กนก กล่าวอีกว่า ถ้าอยากให้ข้อพิพาทกับกัมพูชาจบ ขณะนี้ตนมองเห็นแค่ทางเดียว คือ ต้องใช้กำลังทหารโจมตีและลิดรอนกำลังทหารของกัมพูชาให้ได้มากที่สุดจนกัมพูชาต้องยอมยกธงขาว ซึ่งตนมั่นใจว่าถ้าสู้กันด้วยกำลังทหาร กัมพูชาก็สู้ไม่ได้แน่ ไทยจะต้องทำให้กัมพูชาถอยร่นและออกไปจากแนวพิพาททั้งหมดตลอดแนว ในทางตรงกันข้ามหากไทยปล่อยให้ปัญหาเรื้อรังไปต่อเนื่อง ตนเชื่อว่ากัมพูชาจะแข็งแกร่งมากขึ้น ส่งผลให้ไทยยิ่งลำบากและเจอศึกหนักมากขึ้นแน่

ด้านนายพีระพันธุ์เน้นย้ำถึงแนวทางการยุติปัญหากับกัมพูชาว่า ประเทศไทยจะต้องมีมาตรการที่เด็ดขาด และต้องตัดสินใจเลือกเอาว่าจะเอาแผ่นดินไทย หรือเอาเรื่องอื่น

“ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าประเทศชาติ รัฐบาลต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ต้องเลือกระหว่างความมั่นคง การรักษาแผ่นดินของชาติ หรือจะรักษาสิ่งอื่น ผมย้ำว่าผมเป็นห่วงเรื่องหลักเส้นเขตแดน 73 เป็นอย่างมาก และหวังว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาอย่างจริงจังและเกิดผลเป็นรูปธรรมได้” นายพีระพันธุ์กล่าว

พร้อมกันนี้  นายพีระพันธุ์ยังฝากให้ พล.ท. กนก ช่วยกระตุ้นเตือนให้บุคลากรที่รับผิดชอบในกองทัพลุกขึ้นมาทำเพื่อชาติและแผ่นดินอย่างชอบธรรม  พร้อมยืนยันว่า หากประเทศไทยมีระบบการจัดการที่ดีและมีมาตรการที่เด็ดขาด รวมถึงคนไทยเข้มแข็ง ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชาก็จะจบลงได้