เมื่อวันที่ 15 พ.ย.68 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เทพไท คุยการเมือง ระบุว่า ผมได้ติดตามการประชุมของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายรังสิมันต์ โรม เป็นประธานคณะกรรมาธิการ และได้เชิญบุคคลสำคัญในสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ถ้อยคำ และมาชี้แจงกรณีที่มีการเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ มีการรับส่วย มีการเปิดเว็บพนันออนไลน์ โอนเงินให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเป็นบุคคลระดับสูง มีการถกเถียงกัน มีการตอบโต้ เกิดวิวาทะระหว่างตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือตัวแทนของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจกรไชย คล้ายคลึง และพลตำรวจโทไตรรงค์ผิวพรรณ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นอดีตตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ แล้วก็มีคุณพิมพ์วิไล ปล้องอ่อน เข้ามาเป็นพยานด้วย
การประชุมเป็นไปด้วยความเข้มข้น ตอบโต้กันไปมาอย่างถึงพริกถึงขิง แสดงให้เห็นว่า ตำรวจทั้ง2ฝ่ายมีแผลเหมือนกัน อยู่ที่ใครจะนำแผลของฝ่ายใดมาขยายผลได้มากกว่ากัน ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหายอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่ในทางกลับกันประชาชนคนไทย ก็จะได้รับรู้ความเน่าเฟะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีมานานแต่ไม่มีใครออกมาเปิดโปงในลักษณะเช่นนี้ เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ออกมา สาดโคลนหรือเปิดโปง ฉีกหน้ากากของกันและกัน ประชาชนก็จะได้ประโยชน์ ประชาชนก็จะได้รู้ธาตุแท้ของตำรวจบางคนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า มีการเก็บส่วย มีการส่งส่วย มีผลประโยชน์มากมาย ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นองค์กรที่บังคับใช้กฎหมายที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด มีผลประโยชน์ ใกล้ชิดกับผลประโยชน์มากที่สุด เป็นกระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ ซึ่งเป็นวิกฤติของกระบวนการยุติธรรมไทยทั้งระบบ เพียงแต่ไม่มีใครกล้าออกมาเปิดเผย และตีแผ่ข้อเท็จจริง เหมือนกับกรณีสำนักสำนักงานตำรวจแห่งชาติในตอนนี้ เพราะมีการขัดผลประโยชน์กัน ระหว่างข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่แต่ละฝ่าย ซึ่งแต่ละคนก็มีทีเด็ด มีข้อมูลออกมาแฉกัน ซึ่งประชาชนคนไทยโดยทั่วไป เชื่อว่า ตำรวจไทยกับส่วยเป็นของคู่กัน ไม่ต่างอะไรกับไก่กินข้าวเปลือก แมวกินปลาทู หรือหมาที่ชอบกินอุจจาระคน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของตำรวจไปแล้ว
ส่วนกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ที่ไม่กล้าพูดถึง เพราะเกรงจะถูกข้อหาละเมิด ตั้งแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด ศาลยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ ล้วนแล้วแต่เสื่อมศรัทธาจากประชาชนทั้งสิ้น คนที่พูดเรื่องนี้เพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีอะไรที่จะเสียไปมากกว่านี้ ก็คือน.ช.ชวลิต ทองด้วง หรือแป้งนาโหนด นักโทษหนีคุก ได้ออกมาแฉความอัปยศของกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ตำรวจอัยการ ศาล และราชทัณฑ์ตามลำดับ ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมน่าจะนำไปขบคิด และรัฐบาลก็ควรจะนำไปเป็นสารตั้งต้น ในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ วันนี้เริ่มต้นจากการเปลือยองค์กรสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ก็ควรไปสังคายนาสำนักงานอัยการสูงสุด ศาลยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ด้วย
ผมเห็นว่าคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ และกิจการชายแดน สภาผู้แทนราษฎร ไม่ควรจะหยุดการสืบสวนเรื่องนี้ไว้เพียงแค่นี้ ไม่ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการทำเกินหน้าที่ไปบ้าง หรือเป็นการดำเนินการเหมือนกระบวนการยุติธรรมก็ตาม แต่เมื่อสังคมไทยละเลย ไม่มีใครกล้าเข้าไปจัดการเรื่องในลักษณะเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นความกล้าหาญของประธานกรรมาธิการ นายรังสิมันต์ โรม จึงให้กำลังใจ และเป็นโอกาสดีที่สังคมสนใจ เรียกร้องให้มีการปราบแก๊งสแกมเมอร์อย่างจริงจัง และองค์กรที่มีส่วนได้เสียกับแก๊งสแกมเมอร์มากที่สุด คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้ทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้ความจริงปรากฏต่อสังคมไทย
#เทพไทเสนพงศ์ #ตำรวจไทย #กมธความมั่นคง #รังสิมันต์โรม #แก๊งสแกมเมอร์ #ปฏิรูปตำรวจ #คอร์รัปชัน







