คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
การที่ใครก็ตามจะออกมาวางตัวเองเป็นผู้ไกล่เกลี่ยไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวสงครามระหว่างประเทศ หรือแม้แต่กรณีพิพาทก็ตาม นับว่าผู้นั้นจะต้องมีศิลปะและมีความสามารถเฉพาะตัว และเหนือสิ่งอื่นใดจะต้องวางตัวเป็นกลาง เช่น
อันดับแรก : ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องเป็นนักฟังที่ดี และจะต้องเป็นนักสื่อสารที่ดี ที่พร้อมจะรับฟังข้อมูลจากทุกๆฝ่าย และที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องสร้างความไว้วางใจและสร้างความเชื่อถือจากทุกๆฝ่ายโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น
อันดับที่สอง: ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องมีความมุ่งมั่นในการเสาะหาและรวบรวมหาข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของประเทศไทยและกัมพูชา ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ที่จะเข้ามารับบทบาทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาและทำความเข้าใจต่อประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศอย่างแท้จริง
อันดับสาม: สำหรับผู้ที่จะเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงประเด็นหลักๆและภาพรวมของทั้งสองประเทศทั้งในอดีตและปัจจุบัน อีกทั้งผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆทั้งสิ้น
และสิ่งที่มีความจำเป็นก็คือ ผู้ไกล่เกลี่ยควรจะมีพื้นฐานทางด้านกฎหมาย ทั้งนี้ก็เพราะว่า นักกฎหมายที่ดีต่างก็มีความเจนจัดในการเสาะหาหลักฐาน (Evidence)
และสิ่งที่นับว่าสำคัญที่สุดก็คือ ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องมีผลงานพิสูจน์ให้เห็นว่า ในอดีตที่ผ่านมาเคยประสบความสำเร็จสร้างผลงานมาแล้ว
ทั้งนี้ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องเป็นบุคคลที่ได้รับการพิสูจน์เกี่ยวกับด้านจรรยาบรรณและด้านมนุษยธรรมมาเป็นอย่างดีแล้วจากแหล่งที่เชื่อถือได้!
ในกรณีของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”ที่ออกมาแสดงเจตจำนงตั้งตัวเองเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา นับตั้งแต่เริ่มแรกก็เห็นได้อย่างค่อนข้างชัดเจนว่า “มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง” โดยเขาเอ่ยปากเรียกร้องให้ “นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกุล” เซ็นข้อตกลง MOU เกี่ยวกับ “แร่แรร์เอิร์ธ”ซึ่งเป็นกลุ่มของธาตุที่โลหะพิเศษที่หายากให้แก่ฝ่ายสหรัฐอเมริกา
ซึ่งการเรียกร้องแร่ธาตุหายากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาเรียกร้องนั้น เข้าทำนองเดียวกันกับที่เขาเรียกร้องจากแร่ธาตุนี้จากยูเครนถึงครึ่งๆหรือ 50% นั่นเอง
อย่างไรก็ตามหากว่าประเทศไทยไหวตัวทันรู้ไส้เห็นพุงของประธานาธิบดีทรัมป์ดีแล้ว ก็ถึงเวลาที่นายกฯอนุทินจะต้องตัดสินใจยกเลิก MOU กับประธานาธิบดีทรัมป์ก่อนที่จะสายเกินไป!!!
ที่ผ่านมาหากวิเคราะห์กันดูแล้วจะเห็นได้ว่านายกอนุทิน ตกเป็นเหยื่อของประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งแต่เริ่มต้น
และต้องไม่ลืมอีกด้วยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นนักธุรกิจระดับโลกที่มีข่าวออกมาโจมตีบ่อยๆเกี่ยวกับการที่เขามีประวัติด่างพร้อยในการทำธุรกิจแบบใช้เล่ห์เหลี่ยมไม่ค่อยโปร่งใส
นอกเหนือจากนั้นการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ หยิบยกเอาเรื่องภาษีเข้ามาเป็นอาวุธต่อรองต่อประเทศไทย ก็นับได้ว่าเขาเป็นนักฉกฉวยโอกาสตัวยงเลยทีเดียว
โดยเฉพาะการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เอ่ยปากแก้ต่างให้ฝ่ายกัมพูชาเกี่ยวกับทุ่นระเบิด ทั้งๆที่ฝ่ายไทยกล่าวยืนยันมาโดยตลอดว่าฝ่ายกัมพูชาจงใจที่จะลอบเข้าไปวางทุ่นระเบิด เพื่อต้องการที่จะเข่นฆ่าคนไทยและทหารไทย โดยกัมพูชาใช้ทุ่นระเบิดเป็นอาวุธสำคัญในการทำสงครามเรื่อยมาโดยตลอด
แต่ผู้ที่เข้ามาวางตัวเป็นนักไกล่เกลี่ยเยี่ยงประธานาธิบดีทรัมป์ กลับออกมากล่าวอ้างสงครามครั้งนี้ว่า ทุ่นระเบิดที่กัมพูชาลักลอบเข้ามาวางเอาไว้ตลอดเวลานั้นเป็นแค่ “เรื่องอุบัติเหตุระเบิดข้างถนน” หรือ “Roadside Bomb”
ในกรณีของการที่กัมพูชาว่าจ้างนักล็อบบี้ยิสต์นั้น ซึ่งที่ผ่านๆตั้งแต่สมัยที่นายกฯ ฮุน เซนยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขานิยมที่จะจ้างนักลอบบี้ยิสต์มาโดยตลอด สืบเนื่องมาจากสมัยนั้นกัมพูชามักจะถูกข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่เป็นประจำ ยกตัวอย่างอาทิเช่น เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2021 ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศเวนดี เชอร์แมน เดินทางเข้าไปพบปะกันนายกรัฐมนตรีฮุน เซน และจากข้อมูลของกระทรวงยุติธรรมออกมาเปิดเผยว่า ครั้งนั้นสถานทูตกัมพูชาควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าธรรมเนียมให้แก่ “บริษัททนายความ Akin Gump Strauss Hauer & Feld L.L.P.” โดยจ่ายค่าธรรมเนียมเดือนละ 60,000 เหรียญ
และยังมี “บริษัท Qorvis LLC” ที่รับหน้าที่ล็อบบี้ยิสต์เป็นกระบอกเสียงให้แก่กัมพูชาโดยจ่ายค่าบริการให้แก่บริษัทนี้ตกเดือนละ 69,300 ดอลลาร์อีกด้วย
และเมื่อปีค.ศ 2018 เขาก็ได้ว่าจ้างบริษัททนายความ Brownstein Hyatt Farber Schreck and Pac Rim Bridges โดยเขายอมทุ่มเงิน 1.2ล้านดอลลาร์ เพื่อล็อบบี้รัฐบาลสหรัฐฯและสภาคองเกรสให้เห็นชอบและเป็นการปูทางด้านการเมืองให้แก่ บุตรชายคนโตฮุน มาเนต ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตามที่ผ่านๆมากลไกที่ทำให้นายกฯฮุน เซน สามารถวางตนเป็นเผด็จในกัมพูชา จนทำให้กัมพูชามีระบอบการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ที่พรรคการเมืองใดๆไม่สามารถเข้าไปต่อต้าน ก็เนื่องมาจากการที่เขายอมลงทุนว่าจ้างบริษัทกฎหมายชื่อดังที่ยึดอาชีพเป็นนักล็อบบี้ยิสต์เข้าไปเป็นกระบอกเสียง เป็นหู เป็นตาให้แก่เขานั่นเอง!!!
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการที่จะทำให้ประเทศไทยของเราสามารถผ่านพ้นสงครามที่กำลังดำเนินกับกัมพูชาได้นั้น ขอแค่เพียงประเทศไทยมีความหนักแน่น ขอให้ประเทศไทยเป็นฝ่ายรุกทางด้านทหารและทางการทูตต่อไป และยังไม่สายจนเกินไปที่ประเทศไทยของเราควรจะว่าจ้างนักล็อบบี้ยิสต์มืออาชีพ เพื่อให้เข้าไปสื่อสารแก้ไขภาพพจน์ประเทศไทยของเราให้ดูดีขึ้น อย่าขี้เหนียวงบประมาณ และเหนือสิ่งอื่นใดอย่าไปสนใจต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้มากนักควรจะปล่อยให้นักล็อบบี้ยิสต์เข้าไปช่วยดำเนินการให้ละครับ








