กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) จัดงานแถลงความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพระบบแจ้งเตือนฉุกเฉินแห่งชาติ (Cell Broadcast) ในการเชื่อมต่อระบบสื่อสารเตือนภัยให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุม และแม่นยำ เพิ่มศักยภาพในการรับมือภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉิน
พร้อมจัดเสวนาหัวข้อ ‘ก้าวต่อไปพร้อมกับความร่วมมือการพัฒนาระบบแจ้งเดือนเพื่อความปลอดภัยให้กับประชาชน จากผู้แทน บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT) ระบบสื่อสาร Trunk Radio, คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) ระบบการเชื่อมต่อ TV, สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ประสาน Platform, ตำรวจ 191 และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ด้านมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงาน (SOP) ร่วมแบ่งปันเนื้อหาข้อมูลสำคัญร่วมกัน เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ
NT เสริมแกร่งคลื่นความถี่วิทยุดูแลสัญญาณ
ดร.ณัฏฐวิทย์ สุฤทธิกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มสื่อสารไร้สาย บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กล่าวถึง NT ในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั้งไร้สายและมีสาย ได้เตรียมความพร้อมโครงข่ายสื่อสารที่มีฐานครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนการแจ้งเตือนภัยในพื้นที่เป้าหมายพร้อมกันทั่วประเทศ โดย NT มีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมของโครงข่ายให้มีศักยภาพสูงสุด
สำหรับระบบการแจ้งเตือนภัยที่ดำเนินการอยู่คือ Cell Broadcast ซึ่งมีสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือ CB D (Cell Broadcast for Disaster) ที่ทำงานร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และระบบรับข้อความแจ้งเตือนภัยที่มีอำนาจตามกฎหมายในการแจ้งประชาชน โดยผู้แจ้งเตือนจะส่งข้อมูลไปยังศูนย์ควบคุม Cell Broadcast ทั้งสามแห่งทั่วประเทศ และ NT เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการ (Operator) ที่ได้เตรียมความพร้อมรับมือและสนับสนุนระบบดังกล่าวอย่างเต็มที่
โดยก้าวต่อไปของ ก้าวต่อไปของ ‘Cell Broadcast’ ในช่องทางแรกที่คนไทยใช้งานมากที่สุด คือการแจ้งเตือนผ่านมือถือ ซึ่งมีผู้ใช้งานมากกว่า 90 ล้านเลขหมาย เทียบกับจำนวนประชากรราว 60 ล้านคน แต่ Cell Broadcast เองยังมีข้อจำกัด เพราะรองรับเฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้เครือข่าย 4G และ 5G เท่านั้น ส่วนมือถือรุ่นเก่า หรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ไม่มีสัญญาณ จะไม่ได้รับข้อความเตือน
ทั้งนี้ NT จึงใช้ ‘โครงข่ายสื่อสารสองประเภท’ เสริมเพื่อให้ครอบคลุม ได้แก่
1. วิทยุสื่อสารระบบ Trunked Radio (Push-to-Talk) ใช้ในกลุ่มเฉพาะ เช่น หน่วยกู้ภัย นิคมอุตสาหกรรม โรงกลั่น หรือเหตุฉุกเฉินที่ต้องสื่อสารทันที
2. โครงข่ายวิทยุสื่อสารของภาครัฐ (DTRS) ที่กรมการปกครองนำไปใช้กว่า 60,000 หมู่บ้าน ผ่านระบบหอกระจายข่าว ช่วยกระจายสัญญาณเตือนภัยจากส่วนกลางแบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ ยังมีระบบ วิทยุกระจายเสียง VTRF ที่ NT ใช้สำหรับบรอดคาสต์ข้อความสำคัญออกทั่วประเทศ ช่วยต่อยอดจาก Cell Broadcast ให้การสื่อสารถึงประชาชนได้ครอบคลุมขึ้น
ด้านการสื่อสารทางทะเล NT มีระบบวิทยุสำหรับเดินเรือ ซึ่งแม้จะมีผู้ใช้งานจำกัด แต่เป็นช่องทางสำคัญสำหรับแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ด้านความปลอดภัยทางทะเล ตามมาตรฐานการเดินเรือสากล โดยมีหน่วยงานที่กำกับดูแลร่วมกัน เช่น บางกอก สเตอริโอ
ในกรณีเกิดเหตุรุนแรง เช่น สึนามิ ระบบของ NT สามารถกระจายสัญญาณเตือนภัยไปยังพื้นที่ชายฝั่ง เพื่อให้ประชาชนรับรู้สถานการณ์และปฏิบัติตามแนวทางป้องกันได้ทันท่วงที ถือเป็นแผนพัฒนาที่ต่อยอดจาก Cell Broadcast สู่ระบบเตือนภัยที่มีความครอบคลุมมากกว่าเดิม
ดร.ณัฏฐวิทย์ กล่าวถึงแนวทางการทำงานแบบบูรณาการ จากบทเรียนสำคัญในเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการเมื่อเกิดความขัดข้องของระบบสื่อสารในภาคสนาม โดยเฉพาะการช่วยเหลือหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งโครงข่ายสื่อสารหลายประเภทมักล่มเพราะแหล่งจ่ายไฟถูกตัด ส่งผลให้ระบบสื่อสารหยุดทำงานทั้งหมด
ขณะที่ช่วงที่ผ่านมา มีการวางแผนร่วมกันเพื่อ “ยกระบบสื่อสารกลับขึ้นมา” โดยกำหนดจุดยุทธศาสตร์ในพื้นที่น้ำท่วมหนัก แล้วนำเครื่องปั่นไฟ (Generator) ไปติดตั้งเพื่อให้โครงข่ายสำคัญกลับมาใช้งานได้ชั่วคราว
ด้านโมบายล์ โอเปอเรเตอร์เอง มีหน่วย รถโมบายล์สถานีฐานเคลื่อนที่ และระบบ Radio Trunk สนับสนุนการสื่อสารในพื้นที่วิกฤต พร้อมแบ่งกลุ่มการติดต่อ (Talk Group) เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถประสานงานได้อย่างเป็นระบบและครอบคลุมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
กสทช. ขยายระบบแจ้งเตือน
นายสุภัทรสิทธิ์ สวนสุข ผู้อำนวยการส่วนวิศวกรรมโทรทัศน์ ระบบการเชื่อมต่อโทรทัศน์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) กล่าวถึงบทบาทบทบาทหลักของหน่วยงาน คือการผลักดันระบบเตือนภัยให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีภารกิจสำคัญ 2 ด้าน ได้แก่
1. กำหนดมาตรฐานพื้นฐาน ให้ผู้ให้บริการมือถือรองรับระบบ Cell Broadcast อย่างครบถ้วน ภายใต้กรอบกองทุน USO เพื่อให้ทุกค่ายสามารถรับ–ส่งข้อความเตือนภัยได้
2. ส่งเสริมการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและระบบเตือนภัยอย่างเคร่งครัด
ขณะที่ ด้านวิทยุคมนาคม มีบทบาทในการจัดสรรคลื่นความถี่กลางสำหรับการประสานงานระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงวางรากฐานสำหรับการพัฒนาระบบเตือนภัยในอนาคต
ส่วนกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ จะได้รับการต่อยอดให้สามารถรองรับระบบแจ้งเตือนภัยในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อให้การเตือนภัยของประเทศพัฒนาไปอีกขั้น
สำหรับก้าวต่อไป กสทช. เตรียมเดินหน้าพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยผ่าน Cell Broadcast ให้ครอบคลุมมากกว่าบนเครือข่าย 4G/5G โดยอยู่ระหว่างหารือกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อขยายระบบแจ้งเตือนให้เข้าถึงทุกกลุ่มบริการโทรคมนาคม
ด้าน กิจการโทรทัศน์ ยังมีก้าวสำคัญปี 2568–2569 จากเดิมที่การแจ้งเตือนผ่าน “ตัววิ่งหน้าจอทีวี” ใช้เวลานานกว่าข้อความถึงประชาชน ปัจจุบันได้พัฒนาโครงข่าย TWNH ให้รองรับ “Cell Broadcast บนทีวีดิจิทัล” โดยข้อความเตือนภัยจาก ปภ. จะถูกส่งตรงและ “ตัดสัญญาณรายการในพื้นที่เสี่ยงแบบทันที”
มีการตั้งคณะทำงานร่วมกัน ศึกษาระบบเชื่อมโยงสัญญาณจนเสร็จสิ้นแล้ว โดยระบบจะรับข้อความเตือนภัย, แปลงเป็นสัญญาณภาพ และ Text-to-Speech ส่งออกไปกว่า 168 สถานีทั่วประเทศแบบพร้อมกัน
ขณะที่ ขั้นต่อไปคือเสนอของบกองทุน กสทช. เพื่อนำไปติดตั้งจริงบนโครงข่ายทีวีดิจิทัล เริ่มจาก ไทยพีบีเอส และช่อง 5 นอกจากนี้ ยังหารือกับผู้ให้บริการสตรีมมิง เช่น AIS Play, True ID เพื่อนำระบบแจ้งเตือนภัยเข้าแพลตฟอร์มดิจิทัลด้วย
ด้าน กิจการวิทยุกระจายเสียง การสำรองเมื่อไฟดับ โดยในปีหน้าบอร์ด กสทช. ตั้งเป้าเชื่อมโยงสัญญาณเตือนภัยจาก ปภ. เข้าสู่สถานีวิทยุทั้ง AM และ FM กว่า 3,000 สถานีทั่วประเทศ เพื่อให้เมื่อเกิดเหตุไฟดับหรือเครือข่ายล่ม ประชาชนยังสามารถรับฟังสัญญาณเตือนภัยผ่าน FM ได้ตามปกติ
นายสุภัทรสิทธิ์ กล่าวต่อถึงการการบูรณาการระบบแจ้งเตือนภัยให้มีศักยภาพมากขึ้น โดย กสทช. เห็นความสำคัญของระบบเตือนภัยระดับท้องถิ่น ซึ่งรู้สภาพพื้นที่ดีที่สุด ซึ่งได้ออกใบอนุญาตให้ท้องถิ่นกว่า 3,000 ใบอนุญาต เพื่อให้แต่ละพื้นที่สามารถส่งสัญญาณแจ้งเตือนภัยได้เอง เพราะความรุนแรงของน้ำท่วมหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่
นอกจากนี้ กสทช. ยังทำงานด้าน “การสร้างความรู้เท่าทันภัยพิบัติ” ให้ประชาชน ผ่านสื่อและความร่วมมือกับท้องถิ่น โดยผลักดันให้การสื่อสารความรู้ด้านภัยพิบัติถูกบรรจุในหลักสูตรและกิจกรรมของแต่ละพื้นที่ เพื่อให้มีเนื้อหาที่เหมาะสมกับบริบทจริงของชุมชนนั้น ๆ
สำหรับบทบาทของกสทช. ในการบูรณาการกับทุกภาคส่วน แบ่งการทำงานออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ คือ 1.การสื่อสารกับประชาชน ทำงานร่วมกับผู้ให้บริการมือถือ เพื่อให้บริการสัญญาณไม่สะดุดในช่วงน้ำท่วมหรือเหตุฉุกเฉิน โดยติดตั้งอุปกรณ์เสริมและสถานีส่งสัญญาณชั่วคราวในพื้นที่สำคัญ เพื่อให้ประชาชนรับข้อมูลผ่านมือถือได้ตลอดเวลา
2.การสื่อสารของเจ้าหน้าที่ภาครัฐและอาสากู้ภัย โดย กสทช. ประสานงานกับเครือข่ายวิทยุสมัครเล่น และหน่วยงานกู้ภัยต่าง ๆ เพื่อให้มีระบบสื่อสารที่เป็นศูนย์กลาง เชื่อมต่อถึงกันได้ในภาวะฉุกเฉิน เมื่อโครงข่ายหลักมีปัญหา และ 3.การช่วยเหลือประชาชนด้านบริการโทรคมนาคม โดย กสทช. ประสานผู้ให้บริการมือถือเพื่อออกมาตรการช่วยเหลือ เช่น แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตฟรีในช่วงวิกฤต, ขยายเวลาชำระค่าบริการทั้งแบบเติมเงินและรายเดือน ซึ่งทั้งหมดเป็นแนวทางเสริม เพื่อให้ประชาชนมีความสามารถในการติดต่อสื่อสารในช่วงวิกฤตได้ดีที่สุด
ETDA เชื่อมโยงแพลตฟอร์มดิจิทัล
ด้าน คุณพลอย เจริญสมตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงาน พัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กล่าวว่าหนึ่งในบทบาทสำคัญของหน่วยงาน คือการกำกับดูแลธุรกิจแพลตฟอร์มและสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียและบริการแชทต่าง ๆ โดยปัจจุบันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสื่อสารด้านสาธารณภัยอย่างมาก
ขณะที่ ETDA ทำหน้าที่เป็นช่องทางประสานให้ผู้ประกอบการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องไปยังประชาชนได้รวดเร็ว ครอบคลุม และปลอดภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการสื่อสารในสถานการณ์ฉุกเฉิน และทำให้เครื่องมือที่ประชาชนใช้ในชีวิตประจำวันสามารถรองรับการแจ้งเตือนภัยได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุด
ขณะที่ ก้าวต่อไปของ ETDA คือการพัฒนาแพลตฟอร์มเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงข้อมูลด้านความปลอดภัย โดยมีภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือจาก ปภ. (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อให้ข้อมูลสามารถกระจายต่อได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว
โดยการเข้าถึงข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มต้องเป็น พื้นที่อินเทอร์แอคทีฟ ที่ประชาชนใช้ได้จริง เช่น การกระจายข้อมูลผ่าน เซลล์คาสต์ / พอดแคสต์ / ไลฟ์สตรีม รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยลดขั้นตอนการติดต่อแจ้งเหตุ เช่น
• ปุ่มตรวจสอบ “พื้นที่เสี่ยงภัย” แบบเรียลไทม์
• ระบบแจ้งเตือนทันทีผ่านช่องทางโซเชียล
• การเชื่อมข้อมูลร่วมกับฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มใหญ่ (ตัวอย่างเช่น ฟีเจอร์ของ Facebook)
“แนวทางนี้ช่วยให้ ดีอี และหน่วยงานรัฐอื่นๆ สามารถ บูรณาการข้อมูลและการสื่อสารร่วมกันในทุกแพลตฟอร์ม ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
คุณพลอย กล่าวต่อถึง การบูรณาการความร่วมมือ เพิ่มศักยภาพภาครัฐและการช่วยเหลือประชาชน โดยภาครัฐควรเป็นแกนกลางในการสร้าง ความชัดเจนของเนื้อหาและข้อมูลด้านความช่วยเหลือ ที่ส่งตรงถึงประชาชนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเชื่อถือได้
ขณะที่ การใช้แพลตฟอร์มเป็นสื่อกลางนั้น ไม่ใช่เพียงการเผยแพร่ข้อมูล แต่เป็นการสร้าง ระบบประสานงานกลาง ที่ทุกฝ่าย ภาครัฐ เอกชน ผู้ประกอบการ และประชาชน สามารถใช้งานร่วมกันได้ เช่น ช่องทางขอความช่วยเหลือ,
ระบบบริหารจัดการการรับบริจาค และ การจัดสรรทรัพยากรให้ถึงพื้นที่จริง
โดย แพลตฟอร์มจะทำหน้าที่เป็น “ศูนย์กลาง (Center)” ช่วยรวบรวม จัดระบบ และป้องกันปัญหา เช่น การแอบอ้างรับบริจาค หรือมิจฉาชีพ โดยออกแบบระบบเฝ้าระวังและตรวจสอบ เพื่อให้การช่วยเหลือสามารถนำไปใช้ได้ ตรงจุด เต็มประโยชน์ และโปร่งใสที่สุด
ปภ. แนะมาตรฐานสากลแบ่งส่วนรับผิดชอบ
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ด้านข้อปฎิบัติ SOP กล่าวถึงบทบาท ปภ. เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการส่งการแจ้งเตือนไปยังประชาชนโดยตรง และสามารถมอบอำนาจนี้ให้หน่วยงานเฉพาะทางในเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การแจ้งเตือนแผ่นดินไหวที่มอบหมายให้กรมอุตุนิยมวิทยาเป็นผู้รับผิดชอบส่งสัญญาณเตือน
ขณะที่ ก้าวต่อไป ปภ. ต้องทำหน้าที่เป็น “หน่วยงานแรก” ที่รับข้อมูลข่าวสารและเป็นศูนย์กลางการทำงานภายใต้ระบบแจ้งเตือนภัยร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการตัดสินใจต้องอยู่ภายใต้ SOP ที่ชัดเจน
พร้อมยกกรณี อำเภอหาดใหญ่ เป็นตัวอย่างสำคัญ โดยก่อนเกิดเหตุ 5–7 วัน มีข้อมูลคาดการณ์ฝนตกหนัก ซึ่งมีการตั้งวอร์รูมแบบเรียลไทม์ ร่วมกันระหว่าง ปภ., ชลประทาน, กรมทรัพยากรน้ำ และหน่วยงานอื่น รวมทั้งมีการแจ้งเตือนต่อเนื่องซึ่งประชาชนได้รับครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงช่วงวันที่ 21–22 พฤศจิกายนที่ผ่านมาพบว่า การสื่อสารล่มและถูกตัดขาด ทำให้ประชาชนไม่สามารถรับข้อมูลอย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องมี ช่องทางสำรอง เพื่อเตือนภัยในยามระบบหลักใช้การไม่ได้
ขณะที่ โจทย์สำคัญ เมื่อประชาชนได้รับข้อความแล้ว เขาต้องทำอย่างไรต่อ หรือ ต้องอพยพไปที่ใด? หากพื้นที่ถูกน้ำท่วม ประชาชนจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลที่ชัดเจน เช่น จุดปลอดภัย เส้นทางอพยพ หรือการประเมินสถานการณ์แบบพื้นที่ต่อพื้นที่ โดย ตามหลักสากล การแจ้งเตือนต้องมีทั้ง
• E-Alert (Emergency Alert) ระดับชาติ
• L-Alert (Local Alert) ระดับพื้นที่
ขณะเดียวกัน ยังจะต้องทำงานร่วมกันและสอดคล้องกับแผนการรับมือภัยพิบัติของแต่ละพื้นที่
พร้อมเสนอมาตรฐานสากล กรณีตัวอย่างจากญี่ปุ่นและสเปน หลายประเทศ ได้ แบ่งสัดส่วนความรับผิดชอบของการแจ้งเตือนอย่างชัดเจน เช่น ภัยสึนามิ, สงคราม และ ภัยคุกคามระดับชาติ ขณะที่การแจ้งเตือนระดับท้องถิ่นที่ต้องดำเนินการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเอง
สำหรับอนาคตของระบบเตือนภัยไทย อาจมีการใช้ระบบ ‘CBE Broker’ ส่งการแจ้งเตือนไปยังทุกจังหวัดแบบครอบคลุม ซึ่งจะต้องตอบให้ได้ว่า “หากเกิดข้อผิดพลาด ใครเป็นผู้รับผิดชอบ?”
ขณะที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีศักยภาพเพียงพอในการประเมินสถานการณ์ และติดตั้งระบบ CBE เพื่อให้สามารถลดความเสียหายได้มากถึง 30% ซึ่งเป็นประโยชน์สำคัญของระบบนี้
“ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะมีเทคโนโลยีก้าวหน้าเพียงใด สิ่งที่ชาวบ้านเชื่อมากที่สุดยังคงเป็น เสียงของคนใกล้ตัวและความรู้จากธรรมชาติ”
ดังนั้น ระบบแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพต้องผสมผสานทั้งเทคโนโลยีมาตรฐานสากล และการสื่อสารระดับพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมการบูรณาการรอบด้านทั้งระบบและการตระหนักรู้ของภาคประชาชนร่วมกัน








