เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมค่าเงินบาทจะมาจากแรงผลัก 3 เรื่อง คือ 1.ปัจจัยพื้นฐาน คือดอลลาร์อ่อนค่า 10% การค้าขายดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวก 2.เงินไหลเข้า และ 3.การเข้าแทรกแซงของธปท. ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 แต่ด้วยข้อจำกัดจากที่ไทยลงนามกับสหรัฐฯ ในเรื่องของการบิดเบือนค่าเงิน จึงไม่สามารถทำได้มากนัก ทำได้ค่าลดคงามผันผวนของค่าเงิน
อย่างไรก็ดี หากดูเงินทุนที่มีผลต่อค่าเงิน พบว่า การนำเงินลงทุนในการซื้อหุ้น และตราสารหนี้ เป็นจุดไม่เห็นสัญญาณการเก็งกำไรในระยะสั้น แต่เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว ซึ่งธปท.ไม่สามารถใส่มาตรการภาษีได้ เนื่องจากจะกระทบต่อภาพรวมตลาดได้
ล่าสุด ธปท.ได้มีการลงนามประกาศเรื่องรายงานธุรกรรมนำเงินเข้าประเทศ หรือเรื่องการซักซ้อมวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศกับลูกค้า เพื่อให้สามารถตรวจสอบเอกสารการนำเงินเข้าประเทศ เพื่อให้เห็นชัดว่าเงินเข้ามาจากไหน และมีวัตถุประสงค์อะไร
ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล (Non-Resident) ในประเทศ โดยกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธุรกรรมตั้งแต่ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป ซึ่งธุรกรรมปกติ เช่น คนทำงานต่างประเทศโอนเงินกลับ หรือการค้าขายที่มีเอกสารชัดเจน จะไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งธนาคารพาณิชย์เป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบตามมาตรฐานสากล โดยรายงานทุกธุรกรรมเป็นรายธุรกรรมในวันทำธุรกรรม (trade date) หรือไม่เกินวันครบกำหนดชำระเงิน (settlement date)
“ตั้งแต่วิกฤตปี 2540 แบงก์ชาติให้ความสำคัญกับการตรวจสอบเงินทุน ขาออกเป็นหลัก เพราะกังวลเรื่องเงินไหลออก แต่ในบริบทปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งจากเงินทุนไหลเข้า ดังนั้น จำเป็นต้องปรับมาดูขาเข้ามากขึ้น โดยมีผลตั้งแต่ 29 ธ.ค.68 เป็นต้นไป”
นอกจากนี้ ธปท.มีความสงสัยกระแสเงินทุนของทองคำ แม้ว่าในช่วง 3-4 เดือนมีการจรวจสอบ พบว่า ไม่น่าเกี่ยวข้อง เพราะว่าไทยเป็นประเทศนำเข้าทองคำสุทธิ แต่หลังจากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกใหม่ พบว่า แรงกดดันสำคัญมาจาก การขายทองคำผ่านแอปพลิเคชันเป็นเงินบาท เนื่องจากผู้ลงทุนขายทองผ่านแอปฯ ร้านทองจะต้องนำทองไปขายต่อในตลาดต่างประเทศเพื่อปิดความเสี่ยง ทำให้ได้รับเงินดอลลาร์ จากนั้นจึงนำดอลลาร์มาขายเพื่อซื้อเงินบาท ส่งผลให้เกิดแรงขายดอลลาร์จำนวนมาก และทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว โดยจุดนี้ไม่มีหน่วยงานไหนควบคุมดูแล
ดังนั้น ธปท.จึงขออำนาจกระทรวงการคลังในการแก้ประกาศกระทรววการคลังให้ธปท.มีอำนาจในการตรวจสอบธุรกรรมทองคำ เนื่องจากเป็นธุรกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจ และยังเห็นชัดว่าเป็นแรงกดดันค่าเงินบาท สะท้อนผ่านตัวเลขธุรกรรมเทรดทองคำออนไลน์สัดส่วนถึง 40-50% โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคมสูงถึง 60% ของธุรกรรมอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ทั้งหมด โดยประกาศดังกล่าวน่าจะออกมาภายในกลางเดือนมกราคม 2569 ซึ่งการดูแลดังกล่างจะไม่กระทบต่อผู้ซื้อขายรายย่อย หรือร้านทองตู้แดง แต่จะเข้าไปดูธุรกรรมในส่วนของธุรกรรมที่มีการซื้อขายบ่อยๆ และวันละหลายรอบ ดังนั้น มองว่าผู้ประกอบการ 15 ราย อาจจะจำเป็นต้องปรับตัว
“ค่าเงินบาท ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งไม่สามารถกดปุ่มและแก้ไขได้ทันที แต่เป้าหมาย คือ การลดความผันผวนของค่าเงินบาท หรือการเกิดการแรงเทขายแรงๆ และไม่มีผลต่อจีดีพี จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานการกำกับดูแล”








