ข่าวเศรษฐกิจ

ผ่ามรสุมธุรกิจไทยปี68 อยู่รอดได้เพราะ "ความยืดหยุ่น" และ "ประคองตัว" มากกว่าเร่งเติบโตแบบไร้ทิศทาง!

แชร์ข่าว

ในปี 2568 เศรษฐกิจไทยถูกคาดการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 2.0% ถึง 2.8% ตามประมาณการจากหน่วยงานหลักของ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และธนาคารแห่งประเทศไทย โดยภาพรวมปีนี้เปรียบเสมือนปีแห่งการ "ประคองตัวและปรับฐาน" ท่ามกลางบริบทโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ความผันผวนของภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว

รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ มหาวิทยลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงมุมมองเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้มีสัญญาณชะลอตัวลง โดยคาดการณ์ว่าส่งออกไทยจะ ขยายตัวใกล้เคียง 2% นั่นหมายความว่า ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทย จะขยายตัวเพียงประมาณ 1% หรือ 1%กว่าๆ เท่านั้น อีกทั้งครึ่งหลังปีหลังเศรษฐกิจไทยเจอสถานการณ์น้ำท่วม มีเหตุการณ์ปะทะระหว่างไทยกับ กัมพูชา และเหตุความไม่นิ่งของสงครามการค้า

ดังนั้นเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจึงมีสัญญาชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญไตรมาสที่ 4 มีผลกระทบค่อนข้างมากจากที่เข้าสู่โหมดการยุบสภา และรัฐบาลรักษาการ ดังนั้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะไม่ออกมาในช่วงของช่วงท้ายปี อาทิ คนละครึ่งเฟส2 ทำให้เศรษฐกิจไทยขาดแรงหนุนนำในการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี และ ต้นปี 2569

แต่อย่างไรก็ตามต้องมาดูเม็ดเงินจากการเลือกตั้งจะเข้า มาสะพัดในระบบเศรษฐกิจเท่าไหร่ในช่วงไตรมาส1 ของปี 2569 ซึ่งคาดว่าจะเป็นการพยุงสถานการณ์ไม่ให้เศรษฐกิจซึมตัวลงเพราะว่ามีเม็ดเงินในการรณรงค์หาเสียงในครั้งนี้ น่าจะ มีมาก เพราะว่าพรรคการเมืองคงแข่งขันกันมาก น่าจะมีเงินสะพัดประมาณ 40,000 ถึง 60,000 ล้านบาท จึงเป็นสัญญาว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว หรือยังทรุดตัว

จากนั้นต้องดูต่อไปว่ารัฐบาลผสมที่จะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งจะมีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน ใครจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคการเมืองใดจะเข้ามาดูแลเรื่อง เศรษฐกิจ เพราะสำคัญมากถึงนโยบายเศรษฐกิจในปี 2569 ว่า นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลนั้นจะเน้นในเรื่องของเงินโอน นโยบายประชานิยม หรือเน้นเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติ และนักลงทุนไทย มีความมั่นใจในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน อันนี้จะเป็นการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจไทยว่าจะฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่น หรือไม่ในช่วงครึ่งปีหลัง

ดร.ธนวรรธน์ กล่าวอีกว่า เรื่องที่ต้องจับจับตามองต่อไป คือการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯจะออกมา อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องของภาษีสวมสิทธิ์ ถ้าความชัดเจนเกิดขึ้นผู้ประกอบการไทย ผู้ส่งออกไทย จะได้ปรับตัวได้ และเรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจะคลี่คลายลงได้เร็ว นักท่องเที่ยวก็จะกลับมา ดังนั้นตัวเลขเศรษฐกิจ ขณะนี้ จึงยังมีความไม่นิ่ง และไม่ชัดเจนว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้า จะฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นแค่ไหน เพราะยังมีความไม่แน่นอน เรื่องฃการเมือง ,สงครามการค้า ,สถานการณ์การชายแดนไทย-กัมพูชา ,การส่งออก และการ ท่องเที่ยว ว่าจะเป็นอย่างไร

ขณะที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568 ถูกคาดการณ์ว่าจะขยายตัวในระดับต่ำ โดยมีตัวเลข GDP อยู่ที่ประมาณ 2.1% - 2.4% แม้จะมีการฟื้นตัวแต่ก็มีความเปราะบางสูง โดยมีแรงขับเคลื่อนหลัก มาจากการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ (เช่น โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี), การลงทุนภาครัฐที่เร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 68-69 และภาคการท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิด ส่วนปัจจัยกดดัน คือ ภาคการส่งออกเริ่มเผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (Trump 2.0) และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว นอกจากนี้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง (ราว 88% ของ GDP) ยังเป็นตัวฉุดรั้งกำลังซื้อ

ส่วนทิศทางนโยบายการเงินและดอกเบี้ย ปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสู่ "วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง" อย่างเต็มตัว โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 1.25% ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและลดภาระหนี้ให้กลุ่มเปราะบาง เช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ในระดับต่ำมาก (ประมาณ -0.1% ถึง 0.5%) ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากราคาน้ำมันโลกที่ลดลงและกำลังซื้อที่อ่อนแอ

เช่นเดียวกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่พร้อมใจดำเนินนโยบายแบบ "ระมัดระวัง" (Conservative) มากขึ้น โดยจะเห็นได้จากสินเชื่อโตต่ำ เพราะธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ (Credit Tightening) โดยเฉพาะกลุ่ม SME และสินเชื่อรายย่อย เนื่องจากกังวลเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่หนี้เสีย (NPL) และหนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในกลุ่มเปราะบาง ธนาคารจึงต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างหนี้และการบริหารจัดการหนี้เสียอย่างใกล้ชิด และการแข่งขันลดดอกเบี้ย หลังกนง. ลดดอกเบี้ย ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้ MLR, MOR, MRR เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์รายย่อยมักจะคงไว้เพื่อไม่ให้กระทบผู้ฝากเงิน

ดังนั้นปี 2568 เป็นปีที่ธุรกิจและธนาคารต้องเน้น "ความยืดหยุ่น" และ "การประคองตัว" มากกว่าการเร่งเติบโต การลดดอกเบี้ยนโยบายช่วยบรรเทาภาระทางการเงินได้บ้าง แต่ที่สำคัญอยู่ที่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และการปรับตัวของภาคธุรกิจให้เข้ากับมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มข้นขึ้นจากต่างประเทศ เป็นเรื่องที่สำคัญ!!