ข่าวเศรษฐกิจ

“แบงก์ชาติ” จับตาคุมเข้มร้านทอง-เทรดทองผ่านแอป ตะลึงพบธุรกรรมสูงถึง50% ของGDP กดดันบาทไทยแข็งค่า

แชร์ข่าว

วันที่ 18 ธันวาคม 2568 นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การแข็งค่าของเงินบาทในขณะนี้ธปท.ได้ติดตามพัฒนาการของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และได้เข้ามาดูแลในบางช่วงที่เงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่าเร็วเกินไป โดยต้องทำความเข้าใจก่อนว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท ได้แก่ 1. การอ่อนค่าลงของดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งในปีนี้ พบว่า ดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงไปแล้ว 10% และ2. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และปัจจัยที่ไม่ใช่เชิงพื้นฐาน เช่น การไหลเข้าของเงินทุน สกุลเงินดิจิทัล และทองคำ ที่เมื่อราคาทองคำขึ้นเร็วมากก็จะส่งผลต่อค่าเงินมากเช่นเดียวกัน โดยในเดือนที่ผ่านมา พบว่า ราคาทองคำ ปรับขึ้นไปแล้ว 5%

ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าธุรกรรมทองมีผลสำคัญและเป็นแรงกดดันหลักต่อค่าเงินบาทในบางช่วงเวลาด้วย โดยจากข้อมูลพบว่า ปจจุบันมีผู้ค้าทองคำรายใหญ่ราว 15-16 ราย ซึ่งมีการซื้อขายทองผ่านแพลตฟอร์ม หรือแอปพลิเคชัน ซึ่งน่าจะคิดเป็นธุรกรรมสูงถึงกว่า 40-50% ของจีดีพี ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) รายวันของกลุ่มผู้ค้าทองคำต่อปริมาณการซื้อขายทองรวมทั้งหมดในตลาด เฉลี่ยอยู่ที่ราว 8% แต่ในวันที่เงินบาทขึ้นลงเร็ว หรือแข็งค่าเร็วนั้น ปริมารณการซื้อขาย FX ของร้านทองอาจสูงถึง 20.5% ของปริมาณการซื้อขายในตลาดทั้งหมด ตรงนี้เป็นประเด็นที่น่ากังวล

“มีคนถามว่า ธปท. ทำอย่างไรกับค่าเงิน ยืนยันว่าเราทำทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องทองซึ่งมีผลกับค่าเงิน เรามีมาตรการแรง เช่นกันเก็บภาษีขาเข้า แต่ถามว่าตลอดพร้อมกันไหมหาก ธปท. จะดำเนินการ เรื่องนี้ผมคิดว่าการดำเนินการมันต้องเป็นมาตรการที่ค่อยเป็นค่อยไป การจะเก็บภาษีแบบยุคก่อน ที่ ธปท. เคยดำเนินการจนส่งผลกระทบให้ตลาดติดลบไปกว่า 13% นั้นประเมินแล้วไม่เป็นผลดี และเชื่อว่าคงไม่มีใครเห็นด้วย ซึ่งเหตุการณ์นั้นก็เป็นบทเรียนที่เจ็บปวดของ ธปท. ในยุคนั้นเช่นกัน”

นายวิทัย กล่าวว่า สำหรับการคุมเข้มร้านทอง หรือการเทรดผ่านแอปซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญกดบาทแข็งนั้นได้มีการหารือกับกระทรวงการคลัง ในการแก้ประกาศเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลธุรกิจทองคำ โดยเฉพาะผู้ค้ารายใหญ่และแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงการเรียกดูข้อมูลการทำธุรกรรมในบางส่วนที่เกี่ยวกับการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ รวมถึงสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารก่อนรับทำธุรกรรม FX ที่เกี่ยวข้องกับทองคำ โดยต้องเรียกหลักฐานทุกธุรกรรม เพื่อป้องกันการนำเงินเข้าประเทศที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนหารือกับหน่วยงานที่ออกพันธบัตรขนาดใหญ่ เพื่อขอให้ชะลอการออกพันธบัตรในช่วงที่ค่าเงินผันผวน เพื่อลดแรงจูงใจในการไหลเข้าของเงินทุน

นอกจากนี้ยังมีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อช่วยติดตามแหล่งที่มาของสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอร์เรนซี) เพราะในส่วนนี้เป็นจุดที่สังคมต่างตั้งคำถามว่าเกี่ยวข้องกับเงินเทา หรือไม่เทา โดยทั้งหมดต้องเป็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วช่วยกัน

“เป็นความโชคดีของผมที่สนิทสนมกับ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง เราเป็นเพื่อนกัน ดังนั้นนโยบายการเงินและนโยบายการคลังในช่วงนี้จึงสอดประสานกันได้เป็นอย่างดี ทำงานได้โดยไม่มีปัญหาเลย ส่วนเรื่องความเป็นอิสระของ ธปท. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายดอกเบี้ย หรือค่าเงิน กระทรวงการคลังไม่เคยก้าวก่าย เช่นเดียวกับรัฐบาล ที่ไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องลงมือทำด้วย ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันทำเต็มที่ ปัญหาทั้งหมดก็จะถูกแก้ไขได้ในเร็ววัน” ผู้ว่าการ ธปท. กล่าว