วันที่ 13 ธันวาคม 68 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากในช่วงค่ำวันที่ 12 ธันวาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้รับโทรศัพท์จากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา เพื่อหารือสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาพร้อมด้วยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมรับฟังการสนทนา ขณะที่ฝ่ายสหรัฐ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เข้าร่วมการสนทนาด้วย
นางศุภจี ชี้แจงว่า จากกระแสข่าว และถ้อยแถลงของผู้นำประเทศที่ปรากฏในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจมีถ้อยคำหรือการสื่อสารที่ดูเหมือนแตกต่างกันนั้น เป็นผลมาจากการหยิบยกประเด็นบางส่วนของการหารือในมุมมองและบริบทของแต่ละฝ่าย ทั้งนี้ มิได้สะท้อนถึงความเห็นที่แตกต่างกันในสาระสำคัญ หรือทิศทางนโยบายหลัก โดยสาระสำคัญของการหารือยังคงมุ่งเน้นไปที่การแสวงหาสันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาค
ขณะเดียวกัน นายกฯอนุทิน ได้ย้ำอย่างชัดเจนว่า การดำเนินการของประเทศไทยเป็นไปเพื่อการรักษาอธิปไตย ความมั่นคง และความปลอดภัยของประเทศ ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ในช่วงท้ายของการสนทนา ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้สอบถามถึงความคืบหน้าการเจรจาด้านการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า จะเร่งประสานให้เกิดการเจรจา และไม่ลืมที่เคยรับปากไว้
นางศุภจีกล่าวว่า ในส่วนของประเด็นด้านการค้า ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ได้มีโอกาสพบหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย
“ดิฉันได้เน้นย้ำถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายจากการเดินหน้าเจรจาการค้า พร้อมทั้งขอให้สหรัฐพิจารณาแยกประเด็นด้านความมั่นคง ออกจากประเด็นทางการค้า เนื่องจากหากการเจรจาล่าช้าจะส่งผลให้ประโยชน์ที่ทั้งสองประเทศพึงได้รับล่าช้าตามไปด้วย”
นางศุภจี กล่าวว่า ดิฉันยังได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ ทราบถึงผลการหารือกับสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐ (USABC) พร้อมคณะนักธุรกิจสหรัฐ ที่ลงทุนในไทยกว่า 40 ราย นำโดยนาย Ted Osius รองประธานอาวุโสของสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐ (USABC) ที่มาเยือนไทย เมื่อ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยทั้งหมดล้วนเห็นพ้องว่า ต้องการให้ไทยและสหรัฐเร่งสรุปผลการเจรจาการค้าให้ได้โดยเร็ว เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งด้านการค้าและการลงทุนทั้งกับบริษัทสหรัฐ ที่ค้าขายและลงทุนในประเทศไทย
รวมถึง ผู้บริโภคของสหรัฐ ที่จะได้บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพบนพื้นฐานราคาที่เหมาะสม โดยเฉพาะสินค้าที่สหรัฐฯ ไม่สามารถผลิตได้เอง เช่น ข้าวหอมมะลิของไทย และสินค้าเกษตรอื่นๆ ที่สหรัฐ จำเป็นต้องนำเข้า ดังนั้น การเร่งเจรจาการค้าให้ได้ข้อสรุป จึงเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจของทั้งสองฝ่ายคาดหวัง ที่จะเห็นผลสำเร็จโดยเร็ว
นางศุภจี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า เช้าวันนี้ (13 ธันวาคม) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้แจ้งให้ทราบอย่างไม่เป็นทางการว่า จะได้ประสานแจ้งให้ USTR เดินหน้าการหารือในระดับเทคนิคกับฝ่ายไทย ซึ่งสะท้อนถึงสัญญาณบวกที่ฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐ เข้าใจตรงกับไทยที่ตระหนักถึงความสำคัญของการขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้เติบโตต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ ผ่านความตกลงด้านภาษีและการค้าร่วมกัน







