วันที่ 1 ธันวาคม 2568 นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การทำงานของธปท. และกระทรวงการคลัง สอดประสานกันด้วยดีมากตลอด ไม่มีปัญหา ทั้งหมดทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ โดยหลังจากนี้ ธปท. จะมีการปรับบทบาท ไม่ได้ดูเพียงนโยบายการเงิน หรือด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคแต่เพียงอย่างเดียว แต่พร้อมที่จะใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ขับเคลื่อนนโยบายการเงิน ควบคู่กับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเร่งผลักดันมาตรการแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อเข้ามาช่วยในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างด้วย เนื่องจากมองว่า ธปท. ไม่ได้มีหน้าที่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือกระตุ้นการบริโภคเหมือนรัฐบาล แต่ ธปท. มีหน้าที่ในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ตลอดจนการเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนและสถานการณ์ติดลบ 13 ไตรมาส 36 เดือน หรือ 3 ปีในสินเชื่อเอสเอ็มอี ซึ่งในส่วนนี้จะมีการผลักดันกลไกค้ำประกันสินเชื่อเอสเอ็มอีออกมา วงเงินราว 1-1.2 แสนล้านบาท ทั้งนี้จากปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจไทยตอนนี้ หากไม่เร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เศรษฐกิจไทยจะเจอปัญหาหนักจริง ๆ โดยเฉพาะในรายย่อย จากการเติบโตของรายได้บบุคคลที่โตลดลงต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวไม่ถึง 2% จากก่อนหน้านี้โตเฉลี่ย 4-5% ครัวเรือนมีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายต่อเนื่องหลายปี สะท้อนว่าครัวเรือนเหล่านี้จะต้องกู้เงินเพิ่ม ซึ่งสุดท้ายจะวนกลับมาเป็นแรงกดดันของปัญหาหนี้ครัวเรือนในที่สุด
“เราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจเหมือนเดิมที่แม้จะไม่ทำอะไรเลย แต่เศรษฐกิจก็โตได้ 3-4% แต่ตอนนี้จะโต 2% ยังยากเหลือเกิน เพราะเราอยู่บนปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุมเร้ามานานและมากมาย โดยเฉพาะปัญหาโครงสร้างประชากรสูงวัย หนี้ครัวเรือน การกระจายรายได้ไม่ทั่วถึง การเมืองไม่นิ่ง และตอนนี้มีแต่คนที่พร้อมจะวิเคราะห์ ไม่มีคนลงมือแก้ไขจริง ธปท. มองเห็นตรงนี้และอยากจะเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจัง” นายวิทัยกล่าว
นายวิทัย กล่่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ นโยบายการเงินเป็นนโยบายที่มีผลในภาพรวมเศรษฐกิจไม่มาก และการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็ถือเป็นเครื่องมือหลักของนโยบายการเงินที่จะมีผลในหมู่กว้างเป็นหลัก ไม่ใช่นโยบายแบบเฉพาะจุดที่จะเข้ามาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแต่ละครั้งจึงมีผลต่อเศรษฐกิจที่ยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้างค่อนข้างจำกัด ที่ผ่านมา ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อไป ไปแล้ว 4 ครั้ง มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 และ 2569 ต่ำกว่า 0.2% เพราะปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ไม่ได้เกิดมาจากการบริโภค แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างเป็นหลัก ดังนั้นหาก ธปท. จะใช้แค่นโยบายดอกเบี้ยอย่างเดียว ก็จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจน้อยมาก แต่นโยบายเรื่องอัตราดอกเบี้ยก็ยังมีความจำเป็นเพื่อช่วยเรื่องสภาพคล่อง ทำให้คนอยู่ได้ คนจ่ายหนี้ได้ไม่เป็นหนี้เสีย ดังนั้นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2568 ต้องมาดูกันว่า กนง. จะเห็นภาพและข้อมูลของเศรษฐกิจเป็นอย่างไร แต่ยอมรับว่ายังมีช่องว่างที่ยังพอจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้
นายวิทัย กล่าวอีกว่า สิ่งที่ ธปท. เร่งดำเนินการเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างแบบเฉพาะจุด คือ การแก้ปัญหาหนี้เสียรายย่อย ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย โดยโอนหนี้ไปที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สิขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งในส่วนนี้คาดว่าจะช่วยเหลือลูกหนี้ได้ราว 2 ล้านกว่าคน ขณะที่ในช่วงต้นปี 2569 จะเร่งหารือกับนอนแบงก์ เพื่อดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มต่อไป ราว 1 ล้านคน รวมถึงจะมีการเร่งออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย







