"มหาอุทกภัย" ครั้งรุนแรงในพื้นที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของภาคใต้ และได้แผ่ขยายวงกว้างไปยังอีกกว่า 10 จังหวัดภาคใต้ ในช่วงปลายปี 2568 ได้สร้างบาดแผลทางเศรษฐกิจอย่างแสนสาหัส โดยข้อมูลจากหลายแหล่งที่เชื่อถือได้และนักวิชาการต่างประเมินไปในทิศทางเดียวกันว่า นี่คือวิกฤตเศรษฐกิจจมน้ำ ที่ทุบซ้ำภาคธุรกิจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการท่องเที่ยว การค้า และอสังหาริมทรัพย์
จากการประเมินของนักวิชาการและศูนย์วิจัยเศรษฐกิจต่าง ๆ ได้ให้ตัวเลขความเสียหายต่อวันในภาพรวม 10 จังหวัดภาคใต้ อยู่ที่ประมาณ 1,000–1,500 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งเป็นช่วงที่ตรงกับฤดูท่องเที่ยว หรือ ไฮซีซั่น ของภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม หากสถานการณ์ยืดเยื้อออกไปถึง 30 วัน มูลค่าความเสียหายสะสมรวมสำหรับภาคธุรกิจและบริการในภาคใต้ทั้งหมด (รวมหาดใหญ่) อาจพุ่งสูงถึง 19.7 พันล้านบาท หรือแตะ 23.6 พันล้านบาท ในกรณีเลวร้ายที่สุด ตามการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกรุงศรี ซึ่งสะท้อนถึงการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง
เริ่มที่ "ภาคการท่องเที่ยวและบริการ" ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและทันทีทันใด โดยจังหวัดสงขลามีรายได้จากการท่องเที่ยวราว 50,000 ล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ยเดือนละ 4,000 ล้านบาท ซึ่งการเกิดน้ำท่วมในช่วงไฮซีซั่นนี้ทำให้ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวมาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดหลักของหาดใหญ่ได้รับผลกระทบ นักท่องเที่ยวติดค้างและมีการ ยกเลิกการเดินทางทั้งหมด ในระยะสั้น ศูนย์ติดตามสถานการณ์ท่องเที่ยว (TAT) คาดการณ์ผลกระทบระยะสั้นต่อการท่องเที่ยวในเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2568 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวมาเลเซียที่อาจลดลงระหว่าง 7% ถึง 18% ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด
ขณะที่ "ภาคการค้าชายแดนและการค้าส่ง/ค้าปลีก" ก็กระทบหนัก เนื่องจากพื้นที่ หาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ การจมน้ำของพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญกว่า 80-90% ทำให้ธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีก และการค้าชายแดนต้องหยุดชะงัก ผู้ประกอบการต่างเรียกร้องให้รัฐพิจารณา พักหนี้ และ เยียวยาสต็อกสินค้า ที่เสียหายอย่างเร่งด่วน
ส่วนทางด้าน "ภาคอสังหาริมทรัพย์" ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ ระบุว่าน้ำท่วมมีผลกระทบโดยตรงต่อตลาดที่อยู่อาศัยในหาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการบ้านจัดสรร แม้ผลกระทบอาจไม่เท่าภาคการค้า แต่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการตัดสินใจซื้อและอาจกระทบต่อมูลค่าโครงการในระยะต่อไป
นอกจากนี้ยังมี "ภาคเกษตรกรรม" ที่ถึงแม้ว่า หาดใหญ่ จะเน้นภาคบริการ แต่ในภาพรวมภาคใต้ยังมีการเกษตร โดยเฉพาะสวนยางพารา ซึ่งเป็นหนึ่งในสามส่วนหลักที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยนี้
นักวิเคราะห์บางสำนัก มองว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นและตัวเลขความเสียหายระดับนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ อาจเป็น "โอกาส" ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มที่จะพิจารณา ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุมเดือนธันวาคม 2568 เพื่อช่วยพยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วง ขณะที่ผลกระทบทางบวกในตลาดหลักทรัพย์ถูกคาดการณ์ว่าจะเกิดกับหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างและรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากความจำเป็นในการ ซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน และที่อยู่อาศัยหลังน้ำลด
นักวิเคราะห์ด้านภัยพิบัติ ชี้ว่า ปริมาณฝนสะสมที่สูงถึง 630 มิลลิเมตร ในช่วง 3 วัน ถือเป็นสถิติที่รุนแรงและได้ ทำลายสถิติน้ำท่วมสูงสุดเมื่อปี 2553 รวมถึงเกินขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานการระบายน้ำที่มีอยู่เดิม เช่น คลองภูมินาถดำริ และลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา
ผู้เชี่ยวชาญจึงมองว่า น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้เป็น "จุดเปลี่ยน" ที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่ง ทบทวนและปรับปรุงโครงสร้างการจัดการน้ำและผังเมืองใหม่ อย่างเป็นระบบ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงจากสภาวะอากาศสุดขั้วที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในอนาคต อันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
เขียนใหม่ ปรับสำนวนใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม และให้อ่านลื่นไหลถูกหลัก seo แบบไม่ต้องสรุป โดยให้คงรายละเอียดและความยาวเท่าเดิมไม่ต้องมี SUBHEAD พร้อมพาดหัวข่าวขึ้นเว็บ แบบ SEO เพื่อให้ติดอันดับค้นหา Google มากขึ้น พาดหัวข่าวแบบออนไลน์สายไวรัล ปรับให้มีคำที่กระตุ้นความสนใจมากขึ้น พร้อม Meta Description ต้องไม่เกิน 100 ตัวอักษรเด็ดขาด และขอ Hashtag SEO ให้ติดอันดับ Google ได้ง่ายขึ้น ด้วยครับ
#น้ำท่วมหาดใหญ่2568 #น้ำท่วมภาคใต้ #น้ำท่วมหาดใหญ่ #วิกฤตเศรษฐกิจหาดใหญ่ #ผลกระทบน้ำท่วมใต้ #เศรษฐกิจไทย #ลดดอกเบี้ย #อสังหาหาดใหญ่ #การท่องเที่ยวหาดใหญ่








