นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษในงานสัมนา “PRACHACHAT OUTLOOK THAILAND 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” วันนี้ (20 พ.ย.) ว่าจากมาตรการทางเศรษฐกิจต่างๆที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่เข้ามาทำงานทำให้เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 นั้นสามารถขยายตัวสามารถที่จะรอดพ้นจากการติดหล่มและขยายตัวได้มากกว่าที่เดิมหากไม่มีมาตรการอะไรเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้แค่ 0.3% ซึ่งมาจากโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส เที่ยวดีคืน การเร่งเบิกจ่ายของรัฐบาล และโครงการตามสวัสดิการต่าง ๆ การฟื้นตัวที่ยั่งยืนจะต้องเน้นที่การลงทุนเพื่ออนาคต
ทั้งนี้จุดสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปในปี 2569 จะต้องมีการเร่งรัดการลงทุนของภาคเอกชน โดยปีหน้ารัฐบาลจะผลักดันให้เป็นปีแห่งการลงทุน ทั้งเรื่องการลงทุนคน เรื่องรีสกิล อัพสกิล คนไทยซึ่งเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ครั้งใหญ่ และการผลักดันให้มีการลงทุนโครงการใหญ่ๆ และการลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาด นำไปสู่ออโตเมชั่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการอัพเกรดการลงทุน เช่น ดาต้าเซนเตอร์ ที่ต้องการการลงทุนใหม่ และใช้นวัตกรรมทางการเงินทั้งเรื่องของการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFFIF) เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศไทยไปต่อได้
นายเอกนิติ กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ)วันจันทร์หน้า (24 พ.ย.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะเสนอโครงการส่งเสริมการลงทุนเพื่อนอนาคต ซึ่งประกอบไปด้วย 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ Thailand Fast Pass เพื่อปลดล็อกโครงการขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมในการลงทุน โดยมีโครงการที่มีความพร้อมที่จะลงทุนในปี 2569 กว่า 60 โครงการ 3 แสนล้านบาท ซึ่งโครงการเหล่านี้ยื่นคำขอและได้รับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว แต่ยังติดขัดเรื่องกฎระเบียบ ซึ่งเมื่ออนุมัติแล้วรัฐบาลจะใช้มติ ครม.เพื่อปลดล็อกการลงทุนโครงการเหล่านี้ให้เร็วขึ้น โดยโครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นโครงการดาต้าเซนเตอร์ โครงการด้านการลงทุนพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า (EV)หรือการลงทุนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ที่รอการลงทุนจำนวนมาก ซึ่งต้องมีการปลดล็อกเพื่อให้มีการลงทุนได้เร็ว ไม่ว่าจะเป็นใบอนุญาตสร้างโรงงาน การขอน้ำ และไฟฟ้า ต้องมีการอนุมัติให้เร็ว
โดยโครงการ "Fast Pass" จะไม่เพียงแต่แก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น แต่จะถูกนำไปเสนอในคณะกรรมการชุดของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เกี่ยวกับเรื่องของการทำ regulatory กิโยติน เพื่อปลดล็อกกฎกระทรวงและระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาจริง ๆ เพื่อให้เกิดการแก้ไขในระยะยาว
2.โครงการช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทยโดยใช้เงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันประมาณ 1 หมื่นล้านบาท มาอุดหนุนในการที่จะเพิ่มประสิทธิภาพโรงงาน การลดต้นทุน การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เป็นการเปลี่ยนไปสู่โลกยุคใหม่
และ 3.โครงการรีสกิล /อัพสกิลแรงงาน เพื่อสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาทักษะให้บุคลากรประมาณ 100,000 คน
“ตอนนี้ประเทศไทยกินบุญเก่า แต่วันนี้โลกไม่ต้องการการลงทุนเหมือนเดิม โดยเราต้องมีการลงทุนพลังงานสะอาด เช่น เรื่อง Direct PPA โซลาร์ลอยน้ำ เรามีอนาคตเรื่องการเป็นฐานการผลิตในเรื่องของการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่”นายเอกนิติ กล่าว
สำหรับโครงการการแก้หนี้ของเกษตรกร และการแก้หนี้ของเอสเอ็มอีนั้นขณะนี้กำลังหารือในรายละเอียดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยในการแก้ไขหนี้ของเอสเอ็มอีนั้นตอนนี้ได้มีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาตรการเงินที่เหลือจากกองทุนฟื้นฟูระบบสถานบันการเงิน (FIDF) มาช่วยเอสเอ็มอี รวมทั้งการใช้บรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)และการปล่อยกู้ให้กับซัพพลายเชน เพื่อเร่งการจ่ายเครดิตเทอม และให้แรงจูงใจในเรื่องของการลดภาษี หรือให้เครดิตการจ่ายคืนภาษีเร็ว โดยทำคู่กับกลไกการจัดทำเรื่องของ Trans formation ของภาคธุรกิจ
ส่วนโครงการช่วยเหลือเกษตรกร จะมีการดำเนินการในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน โดยเน้นที่หนี้ภาคเกษตร โดยปัจจุบันกำลังดูว่าจะแก้ไขในรูปแบบที่ช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในอดีต หลักการสำคัญคือ จะไม่ให้เสียวินัย โดยจะนำหนี้ที่ต่ำกว่าเกณฑ์ในอดีตออกมา ปรับโครงสร้างหนี้ทั้งการลดต้นและลดดอกเบี้ย โดยหัวใจสำคัญคือการช่วยเหลือพวกเขาด้วยการ เสริมทักษะ ให้ด้วย เพื่อไม่ให้กลับมาเป็น NPL อีกครั้ง เช่น การทำเกษตรสมัยใหม่ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ ซึ่งโครงการต่างๆเหล่านี้จะทยอยเข้า ครม.เศรษฐกิจ และครม.ต่อไป








