เอลวา หวัง ผู้อำนวยการกลุ่มประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และเอเชียกลาง ทรินาโซลาร์ เอเชียแปซิฟิก เผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังปรับนโยบายและการลงทุนเพื่อเปลี่ยนเป้าหมายให้เป็นโครงการพลังงานสะอาด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใดบ้างที่เป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกการพัฒนาพลังงานสะอาดของภูมิภาครวมถึงในไทย ให้ดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น มีราคาถูกลง และเชื่อถือได้?
ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานด้วยแรงขับเคลื่อนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากทั้งด้านนโยบาย การสนับสนุนด้านกฎระเบียบ และการขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นในด้านพลังงานสะอาด ทำให้รัฐบาลและธุรกิจสามารถพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนได้อย่างรวดเร็ว จากรายงานของ Bloomberg NEF พบว่าในปี 2568 มีโครงการผลิตพลังงานสะอาดที่เตรียมเปิดประมูลไม่น้อยกว่า 20 กิกะวัตต์ ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี โครงการเหล่านี้สะท้อนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของพลังงานสะอาดในภูมิภาค
สำหรับพลังงานสะอาดที่เหมาะสมกับภูมิภาคนั้น พลังงานแสงอาทิตย์เป็นหนึ่งในพลังงานที่น่าสนใจที่สุด โดย Bloomberg NEF ระบุว่า การพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตสูงถึงประมาณ 4.8 กิกะวัตต์ ในปี 2568 ซึ่งมากกว่า 1.5 เท่า ของกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 การเติบโตดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงเงื่อนไขทางการเงินที่ดีขึ้น กระบวนการพิจารณาอนุญาตที่รวดเร็วเมื่อนโยบายมีความสอดคล้องกัน และเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และกำลังการผลิตที่สูงขึ้น
ประเทศไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ได้กำหนดเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนไว้ในแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ โดย ประเทศไทยตั้งเป้าที่จะเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ถึง 43 กิกะวัตต์ ภายในปี 2580 อินโดนีเซียวางแผนที่จะติดตั้งการผลิตพลังงานสะอาด 42.6 กิกะวัตต์ ระหว่างปี 2568 ถึง 2577 และเวียดนามตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ไว้ที่ 24 กิกะวัตต์ ระหว่างปี 2568 ถึง 2573 ความมุ่งมั่นเหล่านี้สะท้อนถึงนโยบายที่ชัดเจนในการดึงดูดการลงทุนระยะยาวเข้าสู่ภูมิภาคโดยมีเงื่อนไขว่า กระบวนการขออนุญาต การเข้าถึงโครงข่ายไฟฟ้า และกรอบการซื้อขายไฟฟ้าจะต้องสอดคล้องกันสนับสนุนให้โครงการลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์มีความน่าเชื่อถือ และน่าลงทุนมากยิ่งขึ้น
แนวโน้มในระดับภูมิภาคก็กำลังเปลี่ยนไปเช่นกัน ฟิลิปปินส์กำลังเปิดประมูลการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในปีนี้หลังจากหยุดชะงักไปสองปี ในขณะที่มาเลเซียกำลังผลักดันประเทศเป็นศูนย์กลางของดาต้าเซ็นเตอร์ โดยการคาดการณ์ของรัฐบาลระบุว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของดาต้าเซ็นเตอร์จะส่งผลให้ความต้องการไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นถึง 7.7 กิกะวัตต์ ภายในปี 2573 และ 20.9 กิกะวัตต์ ภายในปี 2583 ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของความต้องการพลังงานสะอาดที่มีความเสถียรและโซลูชันการจัดการสำหรับผู้บริโภค การเคลื่อนไหวของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคผลักดันการเปลี่ยนผ่านภาคพลังงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากการวางแผนไปสู่การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ภายใต้การเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าผ่านกริด การอนุมัติโครงการอย่างรวดเร็ว และการผลักดันนวัตกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนเป้าหมายพลังงานสะอาดให้เป็นโครงการผลิตพลังงานสะอาดเพื่อตอบสนองความต้องการของทุกภาคส่วน
สำหรับประเทศไทย แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) สะท้อนถึงเป้าหมายในการพัฒนาพลังงานสะอาดอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงถึง 47% ภายในปี 2578 และบรรลุเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ควบคู่ไปกับการเปิดเสรีภาคพลังงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประเทศไทยเตรียมอนุมัตินโยบายการเปิดให้ธุรกิจสามารถซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงจากผู้ผลิต (DPPA) ในปลายปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถจัดหาพลังงานสะอาดได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้น
ภายใต้นโยบาย "Quick Big Win" ของกระทรวงพลังงาน การพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ได้รับความสำคัญในทุกระดับ โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน ส่งเสริมให้ผู้ผลิตภาคเอกชนลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินโดยมีกำลังการผลิตรวม 1,500 เมกะวัตต์ นอกจากนี้รัฐบาลยังได้จัดสรรงบประมาณ 7.5 พันล้านบาทเพื่อสนับสนุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับภาครัฐ โรงพยาบาล และเพื่อช่วยเหลือระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์และระบบน้ำประปาหมู่บ้าน ในขณะเดียวกันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) วางแผนที่จะลงทุน 3 พันล้านบาทในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการส่งไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเพื่อขับเคลื่อนการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์
ภูมิทัศน์พลังงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และถูกขับเคลื่อนด้วยความต้องการเร่งด่วนของประเทศที่ต้องการโซลูชันที่ตอบสนองด้านความยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันมีหลายแนวโน้มที่มีความสำคัญที่มีบทบาทในการพลิกโฉมการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ในปี 2569
แนวโน้มสำคัญประการแรก คือ การพัฒนาด้านเทคโนโลยีลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ในระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (BESS) ตลาด BESS กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 76.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 และพุ่งสูงขึ้นเป็น 172.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 17.6% แรงผลักดันนี้มาจากประสิทธิภาพของการกักเก็บพลังงานที่เพิ่มขึ้น ความปลอดภัยที่ดีขึ้น และต้นทุนแบตเตอรี่มีราคาลดลง ทำให้ความนิยมเพิ่มขึ้นและแบตเตอรี่ LFP ยังเหมาะสำหรับการใช้งานทั้งในระบบจัดเก็บพลังงานแบบอยู่กับที่และยานยนต์ไฟฟ้า เมื่อมีการใช้รถ EV มากขึ้น ทำให้เกิดการผลิตแบตเตอรี่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ราคาของแบตเตอรี่ถูกลง ซึ่งเป็นผลดีกับภาพรวมของอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ปัจจุบันประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังเพิ่มการลงทุนในระบบกักเก็บพลังงานเพื่อเพิ่มความเสถียรให้กับแหล่งพลังงานหมุนเวียนและวางรากฐานสำหรับพลังงานสะอาดในอนาคต
เพื่อเสริมความก้าวหน้าในระบบกักเก็บพลังงาน แนวโน้มประการที่สอง คือ การผนวกรวมแหล่งพลังงานหมุนเวียนเข้ากับระบบกักเก็บพลังงาน ในการประชุม COP30 (2025) ผู้นำระดับโลกตอกย้ำถึงความสำคัญของการเร่งการเปลี่ยนผ่านภาคพลังงานสะอาดเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบันหลายประเทศกำลังบูรณาการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้ากับระบบกักเก็บพลังงานซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักในแผนพลังงานของทุกประเทศ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมที่ขาดความต่อเนื่องในการผลิตพลังงาน จะถูกชดเชยด้วยระบบกักเก็บพลังงานทำให้การจ่ายกระแสไฟฟ้ามีความเสถียรสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง โซลูชันที่เกิดขึ้นนี้ช่วยให้กริดมีความเสถียรมากขึ้นสามารถจ่ายไฟฟ้าที่จัดเก็บไว้ในช่วงที่มีความต้องการสูงสุดหรือช่วงที่มีแสงแดดน้อย ด้วยการผสานเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงานช่วยให้โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น โครงการ ไลม์สโตน โคสต์ นอร์ธ เอ็นเนอร์ยี่พาร์ค ในออสเตรเลีย ที่ใช้ระบบกักเก็บพลังงานของ Trina Storage ขนาด 250 MW / 500 MWh เป็นกรณีศึกษาการใช้ระบบกักเก็บพลังงานควบคู่กับพลังงานหมุนเวียนที้น่าสนใจ เพราะโครงการนี้มีบทบาทในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับภูมิภาคออสเตรเลียตอนใต้
แนวโน้มประการที่สาม เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มการผลิตพลังงานหมุนเวียนให้สูงสุด นั่นคือ การใช้ที่ดินอย่างสร้างสรรค์ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การเปลี่ยนที่ดินที่ไม่ได้ใช้งานให้กลายเป็นแหล่งผลิตพลังงานหมุนเวียนกำลังได้รับความนิยมทั่วโลก ในมณฑลซานตง ประเทศจีน เหมืองร้างแห่งหนึ่งได้รับการดัดแปลงให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาด 150 เมกะวัตต์ ซึ่งมีทั้งโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำและระบบกักเก็บพลังงาน ที่ดำเนินการควบคู่ไปกับการทำการเกษตรและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โครงการนี้แสดงให้เห็นว่า เราสามารถจัดการพลังงานหมนุเวียนควบคู่กับระบบกักเก็บพลังงาน และการใช้ประโยชน์สูงสุดจากการใช้ที่ดินในการทำการเกษตรหรือประมง นอกจากนี้โครงการนำร่องในการพัฒนาไมโครกริดอัจฉริยะของทรินาโซลาร์ที่สำนักงานใหญ่ในประเทศจีน ยังเป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจ โดยโครงการนี้ได้บูรณาการการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนโครงสร้างหลังคาที่จอดรถ เข้ากับระบบกักเก็บพลังงานแบบ All-in-one และการชาร์จแบบสองทิศทางจากระบบผลิตไฟฟ้าสู่รถยนต์ และจ่ายไฟฟ้าสู่โครงข่ายกริด (V2G) โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงการผลิตไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่สร้างระบบนิเวศของพลังงานหมุนเวียนจาก “การผลิต-การจัดเก็บ-การชาร์จ-การคายประจุ" ซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในการบูรณาการการผลิต กักเก็บ และจ่ายไฟฟ้าของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
แนวโน้มประการที่สี่ คือ การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง คือ การพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูง เนื่องจากพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงเป็นพลังงานหมุนเวียนหลักในการผลิตไฟฟ้า และความก้าวหน้าล่าสุดในเซลล์แสงอาทิตย์แบบแทนเดมเพอรอฟสไกต์/ซิลิคอนได้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าของโซลาร์พีวีถึง 31% ทรินาโซลาร์แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมด้วยความสำเร็จด้านการวิจัยและพัฒนาล่าสุดในนวัตกรรมของโซลาร์พีวี ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยี TOPCon Ultra และเซลล์แทนเดมเพอรอฟสไกต์/ซิลิคอน บริษัทเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมด้วยการสร้างสถิติโลกใหม่ 5 รายการทั้งในด้านประสิทธิภาพของเซลล์ กำลังไฟฟ้าด้วยโมดูลขนาด 3.1 ตารางเมตรที่มีกำลังไฟฟ้าสูงถึง 841 วัตต์ และมีประสิทธิภาพ 31% อีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจ คือ การพัฒนาโซลาร์พีวีรุ่น Shield ที่ออกแบบมาให้ทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง สามารถทนทานต่อลูกเห็บที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 75 มม. ที่กระทบในมุม 60°
แนวโน้มประการสุดท้าย คือ การพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์อย่างยั่งยืน ดาต้าเซ็นเตอร์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจดิจิทัลแต่ก็เป็นธุรกิจที่ใช้พลังงานมหาศาลเช่นกัน การเติบโตของดาต้าเซ็นเตอร์จึงก่อให้เกิดความกังวลในด้าน ESG อย่างมาก เนื่องจากต้นทุนด้านพลังงานคิดเป็น 30-50% ของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน โดยดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่แห่งเดียวใช้พลังงานเทียบเท่ากับเมืองขนาดเล็ก ซึ่งผู้ประกอบการในยุโรปให้ความสำคัญกับปัญหานี้ โดยกำหนดเป็นมาตรฐานของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ในการดำเนินการจัดหาพลังงานหมุนเวียนสำหรับธุรกิจ การนำความร้อนกลับมาใช้ใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพในระบบทำความเย็น และการจัดการทรัพยากรน้ำ นอกจากนี้ยังมีการนำนวัตกรรมในการระบายความร้อนมาเพิ่มประสิทธิภาพให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ เช่น การระบายความร้อนด้วยของเหลว และการจัดการการไหลเวียนของอากาศขั้นสูงมาใช้เพื่อลดการใช้พลังงานอีกด้วย การบูรณาการระบบจัดการพลังงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด เนื่องจากการดำเนินงานของดาต้าเซ็นเตอร์มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ การใช้พลังงานหมุนเวียน และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นมาตรฐานของธุรกิจที่มีความสำคัญ
ประเทศไทยมีนโยบายและมาตรการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานในการใช้พลังงานสะอาดของดาต้าเซ็นเตอร์ ผ่านนโยบายสนับสนุนและการอนุมัติโครงการที่คล่องตัวมากขึ้น ซึ่งทรินาโซลาร์มีส่วนร่วมในการจัดหาแผงโซลาร์พีวี และระบบกักเก็บพลังงานเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านนี้ โดยใช้โมดูลประสิทธิภาพสูงเพื่อส่งมอบพลังงานที่ความเสถียร เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ดาต้าเซ็นเตอร์ที่บริหารจัดการภายใต้บริบทของความยั่งยืนมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งยังสนับสนุนการดำเนินการตามเป้าหมายของการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ
ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยมีประเทศไทยเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง นวัตกรรมของพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 5 ประการตั้งแต่การผนวกรวมพลังงานหมุนเวียนเข้ากับระบบกักเก็บพลังงานไปจนถึงการพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์อย่างยั่งยืน ช่วยปลดล็อกโอกาสที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับการเติบโตของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด และความมั่นคงทางพลังงาน สำหรับทรินาโซลาร์แล้ว เราไม่ได้เป็นเพียงผู้พัฒนาเทคโนโลยีเท่านั้น แต่เรากำลังสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และบูรณาการโซลูชันในการบริหารจัดการพลังงานที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับประเทศต่างๆ ทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อสนับสนุนเป้าหมายในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน การลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ผู้ประกอบการ และหน่วยงานวิจัย ภายใต้ความร่วมมือนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถยกระดับสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อสร้างความมั่นคงในด้านพลังงานสะอาดสำหรับคนรุ่นต่อไป ที่ทรินาโซลาร์ ภารกิจ “Solar Energy for All” เป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนานวัตกรรม ภายใต้ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตร และการริเริ่มโครงการขนาดใหญ่ทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อสร้างระบบนิเวศด้านพลังงานที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การบูรณาการ และความมุ่งมั่น เพื่ออนาคตของพลังงานสะอาดในภูมิภาคที่มีความเท่าเทียมและความยั่งยืน







