นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยระหว่างการแถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/2568 วันนี้ (24 พ.ย.) ว่าจากข้อมูลหนี้สินครัวเรือนที่ สศช.ติดตามข้อมูลพบว่ามีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่การเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้บ้านก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี โดยปัจจุบันพบแนวโน้มที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดและขายทอดตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องเร่งรัดให้มีการไกล่เกลี่ยหนี้ทั้งก่อนหรือหลังการบังคับคดี เพื่อลดผลกระทบต่อการสูญเสียที่อยู่อาศัยในกลุ่มนี้
ทั้งนี้ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์พบว่าที่อยอยู่อาศัยที่ถูกยึดและขายทอดตลาดมีจำนวนทั้งสิ้น 67,641 หน่วย รวมมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 210.1% ทั้งนี้จากข้อมูลพบว่าส่วนใหญ่เป็นบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลหลักที่มีการยึดบ้านหรือที่อยู่อาศัยมาขายทอดตลาดเนื่องจากลูกหนี้กลุ่มนี้ขาดความสามารถในการผ่อนต่อได้หลังจากภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหลังจากการผ่อนในช่วงแรกแล้ว เมื่อมาเจอดอกเบี้ยในการกู้เพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาต่อมาจึงไม่สามารถผ่อนต่อได้ไหว และกลุ่มนี้ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการรีไฟแนนซ์เพื่อลดดอกเบี้ย
ทั้งนี้สาเหตุที่ สศช.ให้ความสำคัญกับลูกหนี้กลุ่มนี้เนื่องจากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า 1 ใน 3 ของของลูกหนี้ในคดียึดทรัพย์ยังคงติดอยู่ในวงจรหนี้ แม้ทรัพย์สินจะถูกขายทอดตลาด ยังอาจถูกยึดทรัพย์หรืออายัดทรัพย์สินเพิ่มเติมจึงต้องเร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีเพื่อลดผลกระทบจากการสูญเสียสีที่อยู่อาศัย
นางสาวอ้อนฟ้า กล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์หนี้สินครัวเรือนไตรมาสสอง ปี 2568 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.31 ล้านล้านบาท ลดลง 0.3% ตามการหดตัวของสินเชื่อสถาบันการเงิน ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ 86.8% จาก 87.1% ของไตรมาสหนึ่ง ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) จากข้อมูลเครดิตบูโรมีมูลค่า 1.24 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวม 9.11% เพิ่มขึ้นจาก 8.78% ของไตรมาสที่ผ่านมา และเป็นการปรับเพิ่มขึ้นในทุกประเภทสินเชื่อ
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนสินเชื่อที่ค้างชำระระหว่าง 1 – 3 เดือน (SMLs) ต่อสินเชื่อรวมปรับลดลงจากมาตรการการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง ส่วนสถานการณ์ในระยะต่อไปมองว่าสถานการณ์หนี้ครัวเรือนจะปรับเพิ่มขึ้นได้หลังจากที่โครงการปิดหนี้ไวไปต่อได้ที่มีการแยกเอาหนี้เสียที่เป็นหนี้ NPL ออกมาบริหารโดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) จะเป็นการแก้ปัญหาเรื่องหนี้เสียในระบบทำให้ลูกหนี้แก้ปัญหาได้ตรงจุด และธนาคารพาณิชย์จะสามารถกลับปล่อยสินเชื่อได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป
นอกจากนี้ในระยะต่อไป สศช.ระบุว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเข้าถึงมาตรการสินเชื่อของครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำหนดเงื่อนไขการให้สินเชื่อที่ยืดหยุ่น ไม่สร้างภาระในระยะยาว ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์มาตรการให้เกิดการรับรู้ เพื่อให้ครัวเรือนได้รับความช่วยเหลือได้ทัน และลดการต้องไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ และการประชาสัมพันธ์และติดตามการดำเนินการของโครงการ "ปิดหนี้ไว ไปต่อได้" รวมทั้งและหาแนวทางให้ครอบคลุมลูกหนี้กลุ่ม Non-bank เพื่อให้ลูกหนี้ที่มีสิทธิเข้าถึงการแก้ไขปัญหาอย่างทั่วถึง








