กกต.ส่งหนังสือเตือนทุกพรรค! ชี้ 5 ประเด็นต้องทำก่อนเลือกตั้ง ฝ่าฝืนเสี่ยงโทษหนักถึงยุบพรรค–เพิกถอนสิทธิ 20 ปี
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะประธานกรรมการกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง มอบหมายให้สำนักงาน กกต.มีหนังสือกำชับไปยังพรรคการเมือง เกี่ยวกับการดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ใน 5 เรื่องสำคัญ ดังนี้
1.การหาสมาชิกพรรคการเมือง ต้องให้เป็นไปตามกฎหมายพรรคการเมืองและข้อบังคับของพรรคการเมืองอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะห้ามมิให้พรรคการเมือง หรือผู้ใด ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม เพื่อจูงใจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดสมัครเข้าเป็นสมาชิก เว้นแต่สิทธิหรือประโยชน์ซึ่งบุคคลจะพึงได้รับในฐานะที่เป็นสมาชิก หากพรรคการเมืองใดกระทำการดังกล่าวจะเป็นเหตุให้พรรคการเมืองนั้นถูกยุบได้ นอกจากนี้ หากพรรคการเมืองใดแอบอ้างว่าผู้ใดสมัครเป็นสมาชิกโดยผู้นั้นไม่รู้เห็นหรือไม่สมัครใจ หรือนายทะเบียน สมาชิกจัดทำทะเบียนสมาชิกอันเป็นเท็จ จะมีความผิดตามมาตรา 25 ประกอบมาตรา 107 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลเพิกถอน สิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 5 ปี
2.การจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองและการแต่งตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ให้พรรคการเมืองปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองและประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง เรื่อง การจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองและการแต่งตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด พ.ศ.2566 โดยต้องแจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคการเมือง และการแต่งตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ดังกล่าว ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทราบภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด หากไม่ปฏิบัติ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท และปรับอีกวันละ 1,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
3.การสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคการเมืองต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกพรรคการเมืองอย่างกว้างขวาง และเป็นไปตามมาตรา 49 มาตรา 50 และมาตรา 51 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดประชุมสมาชิกพรรค การเมืองเพื่อรับฟังความคิดเห็น การสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 หากหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค หัวหน้าสาขาพรรค หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ไม่ปฏิบัติตาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และปรับไม่เกิน 10,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี และหัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดออกหนังสือรับรองผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 5 ปี
4.การกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองที่ใช้ในการประกาศโฆษณา พรรคต้องดำเนินการตามมาตรา 57 พ.ร.ป.ว่าด้วย พรรคการเมือง พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม นโยบายใดที่ต้องใช้จ่ายเงินการประกาศโฆษณา นโยบายนั้น อย่างน้อยต้องมีรายการ (1) วงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ (2) ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย (3) ผลกระทบและความเสียงในการดำเนินนโยบาย โดยให้พรรคการเมืองคำนึงถึงความเห็นของสาขาพรรคการเมืองและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดด้วย หากไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท และปรับอีกวันละ 10,000 บาท ตลอดระยะเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
5.การควบคุมและกำกับดูแลสมาชิกพรรคการเมือง คณะกรรมการบริหารพรรค และกรรมการบริหารพรรค มีหน้าที่ตามมาตรา 22 พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในการควบคุมและกำกับดูแล มิให้สมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง กระทำการในลักษณะที่อาจทำให้การเลือกตั้ง มิได้เป็นไปโดยสุจริต หรือเที่ยงธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ ตลอดทั้งระเบียบ ประกาศ และคำสั่งของคณะกรรมการ หากคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเป็นเหตุให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ และห้ามมิให้กรรมการบริหารพรรค การเมืองซึ่งพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุดังกล่าว ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองจนกว่าจะพ้นเวลา 20 ปี นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง และห้ามกระทำการอันมีลักษณะเป็นการก้าวก่าย หรือแทรกแซงการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมือง และมีให้มีส่วนร่วมในการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือตำแหน่งอื่น หรือการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดย กกต.มุ่งหวังให้ทุกพรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และประกาศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้พรรคการเมืองทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งและเป็นสถาบันหลักในการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง








