ประเพณี วัฒนธรรม : นำเกร็ดความรู้ด้านศาสนาในพิธีบำเพ็ญกุศล อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เรื่อง การสวดพระอภิธรรม โดยกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม พฤศจิกายน 2568 เผยแพร่ การสวดพระอภิธรรม
การสวดพระอภิธรรมเป็นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นธรรมเนียมหรือประเพณีที่พุทธศาสนิกชนถือปฏิบัติในพิธีบำเพ็ญกุศลที่เกี่ยวเนื่องกับศพหรือผู้วายชนม์ เจ้าภาพหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้วายชนม์จะนิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 4 รูป สวดพระอภิธรรม ณ สถานที่บำเพ็ญกุศลศพ ซึ่งโดยมากมักเป็นเวลาช่วงค่ำหรือตอนกลางคืน ทั้งนี้ หากเป็นพระศพของเจ้านายจะจัดให้มีการสวดทั้งกลางวันและกลางคืนตามจำนวนวันที่กำหนด ในกรณีของศพของบุคคลหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับพระบรมราชานุเคราะห์ตลอดจนพระศพเจ้านาย สำนักพระราชวังจะได้มีหมายรับสั่งให้กรมการศาสนามีฎีกานิมนต์ “พระพิธีธรรม” สวดพระอภิธรรม ซึ่งในปัจจุบัน พระพิธีธรรมในกรุงเทพมหานครมาจากพระอาราม 10 พระอาราม คือ 1. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม 2. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ 3. วัดสุทัศนเทพวราราม 4. วัดบวรนิเวศวิหาร 5. วัดสระเกศ 6. วัดราชสิทธาราม 7. วัดระฆังโฆสิตาราม 8. วัดจักรวรรดิราชาวาส 9. วัดประยุรวงศาวาส 10. วัดอนงคาราม
บทที่ใช้ในการสวดพระอภิธรรม
บทที่ใช้ในการสวดพระอภิธรรมนั้นมีหลายบท เช่น บทพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ บทพระธรรมใหม่ บทพระอภิธัมมัตถสังคหะ (บทที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับหลักธรรมในพระอภิธรรมปิฎกที่รวบรวมและย่อธรรมะขั้นสูงเรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพาน) บทสวดสหัสนัย บทสวดมนต์แปล แต่บทสวดหลักที่ใช้สวดโดยทั่วไป คือ บทพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ที่เป็นคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่กล่าวถึงปรมัตถธรรม อันได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ซึ่งเป็นธรรมอันละเอียดลุ่มลึกและประเสริฐกว่าธรรมทั้งหมด ไม่กล่าวพาดพิงถึงสัตว์ บุคคล เหตุการณ์และสถานที่แต่อย่างใด การได้ฟังพระอภิธรรมจะทำให้ผู้ฟังเกิดการเปรียบเทียบกับการจากไปของผู้วายชนม์ ที่ทำให้เห็นถึงสัจธรรมของชีวิตที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลาง และดับไปในที่สุด บทพระอภิธรรมมีทั้งหมด 7 บท ได้แก่
บทที่ 1 บทพระสังคณี หรือพระธัมมสังคณี เป็นบทที่ว่าด้วยเรื่อง 1) กุศล คือ ความดี 2) อกุศล คือ ความไม่ดีหรือความชั่ว 3) อัพยากฤต คือ เรื่องที่เป็นกลางๆ ไม่เป็นทั้งความดีและความชั่ว
บทที่ 2 บทพระวิภังค์ เป็นบทที่กล่าวถึงการจำแนกส่วนประกอบของชีวิตออกเป็น 5 ขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
บทที่ 3 บทพระธาตุกถา เป็นบทที่ว่าด้วยการเข้ากันได้ของธาตุต่าง ๆ อันเป็นธรรมชาติที่คงไว้ซึ่งสภาพของตน เช่น เยื่อกระดูก เลือด ปัสสาวะ ลมหายใจ ความร้อนในร่างกาย ความรู้สึก เป็นต้น
บทที่ 4 บทพระปุคคลบัญญัติ เป็นบทที่ว่าด้วยการแบ่งประเภทของบุคคล คือ แบ่งตามรูปร่างผิวพรรณ ตามอวัยวะการรับรู้ แบ่งตามลักษณะธาตุทั้ง 6 แบ่งตามตวามจริง แบ่งตามสิ่งที่เป็นใหญ่ในร่างกาย แบ่งตามลักษณะคุณธรรมของแต่ละบุคคล
บทที่ 5 บทพระกถาวัตถุ เป็นบทที่ว่าด้วยการตัดสินข้อขัดแย้ง เพื่อหาสิ่งที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
บทที่ 6 บทพระยมก เป็นบทที่ว่าด้วยการอธิบายหลักธรรมด้วยการตั้งคำถามคำตอบเป็นคู่ๆ กัน เพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ชัดเจนขึ้น
บทที่ 7 บทพระมหาปัฏฐาน เป็นบทที่ว่าด้วยเรื่องปัจจัยในการสนับสนุนของแต่ละเรื่อง เช่น ปัจจัยสนับสนุนจากสิ่งที่เป็นเหตุ 6 ประการ ปัจจัยสนับสนุนจากสิ่งที่เป็นอารมณ์ 6 ประการ เป็นต้น
ทำนองที่ใช้ในการสวดพระอภิธรรม
ในการสวดพระอภิธรรมนั้น พระสงฆ์ที่นิมนต์มาสวด มีการสวดในทำนองที่แตกต่างกันออกไป และทำนองการสวดนั้น มีดังต่อไปนี้
1. ทำนองสังโยค เป็นการสวดเหมือนกับการสะกดตัวในหนังสือประกอบคำอ่าน โดยสวดเป็นประโยค เช่นเดียวกับที่พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ใช้ทำนองนี้สวดในงานศพของประชาชนทั่วไป
2. ทำนองหลวง เป็นการสวดที่มีระดับเสียงสูงต่ำ เบาหนัก สั้นยาว ที่มีลักษณะเป็นทำนองหลัก ซึ่งถือเป็นทำนองมาตรฐานของการสวดพระอภิธรรมของพระพิธีธรรม ซึ่งทำนองหลวงนี้มีการแบ่งย่อยออกไป เพื่อเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบทสวดและของแต่ละวัด พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์ (สมาน กลฺยาณธมฺโม) วัดราชสิทธาราม ได้อธิบายไว้ในหนังสือพระพิธีธรรมว่า ทำนองหลวงที่ใช้สวดมีทำนองต่างๆ ดังนี้
2.1 ทำนองกะ คือ การสวดที่มีลักษณะออกเสียงลงตัว ชัดเจน และเอื้อนเสียงมีจังหวะหยุดเป็นวรรค ซึ่งมี ๒ ลักษณะ คือ กะเปิด มีการสวดเน้นการออกเสียงคำสวดชัดเจน และกะปิด เป็นการสวดเอื้อนเสียงยาวต่อเนื่องกันตลอดทั้งบท
2.2 ทำนองเลื่อน คือ การสวดที่มีการเอื้อนเสียงสวดยาวต่อเนื่องกันตลอดทั้งบท ไม่เน้นความชัดเจนของคำสวด ซึ่งบางครั้งก็เรียก กะเลื่อน หรือกะเคลื่อน
2.3 ทำนองลากซุง คือ การสวดที่มีการออกเสียงหนักลงที่ทุกตัวอักษร โดยการลากเสียงเอื้อนจากหนักไปหาเบาตลอดทั้งบท เหมือนการลากซุงหรือลากสิ่งของที่หนัก จะมีเสียงเคลื่อนแรงในช่วงแรกและเมื่อใกล้จะหมดกำลัง เสียงก็จะเบาลง
2.4 ทำนองสรภัญญะ คือ การสวดสังโยค สวดเป็นรูปประโยคและหยุดตามรูปประโยคของฉันทลักษณ์ ซึ่งจะมีการใช้เสียงเอื้อนบ้างเล็กน้อยไม่ให้เสียอักขรวิธี ทำนองสังโยค พระสงฆ์จะใช้สวดพระอภิธรรมในงานศพของประชาชนโดยทั่วไป ส่วนทำนองหลวงนั้น พระสงฆ์ใช้สวดพระอภิธรรมในงานศพของบุคคลสำคัญ เช่น พระบรมศพ พระบรมศพเจ้านาย หรือในงานบำเพ็ญกุศลศพของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้รับพระบรมราชานุเคราะห์ เป็นต้น
ในการสวดทำนองหลวงนั้น พระที่สวดเป็น “พระพิธีธรรม” จากพระอารามที่ได้รับแต่งตั้งให้มีพระพิธีธรรม ในกรุงเทพมหานคร มีพระอารามจำนวน 10 พระอาราม โดยแต่ละพระอารามนั้นใช้บทสวดและทำนองการสวดพระอภิธรรมที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ใช้บทสวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ และพระธรรมใหม่ โดยใช้ทำนองการสวดเป็นทำนองกะ ทำนองเลื่อน และทำนองลากซุง
2. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ใช้บทสวดพระธรรมใหม่ โดยใช้ทำนองการสวดเป็นทำนองเลื่อน และทำนองลากซุง
3. วัดราชสิทธาราม ใช้บทสวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ โดยใช้ทำนองการสวดเป็นทำนองกะ
4. วัดระฆังโฆสิตาราม ใช้บทสวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ โดยใช้ทำนองการสวดเป็นทำนองเลื่อน
5. วัดจักรวรรดิราชาวาส ใช้บทสวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ และพระธรรมใหม่ โดยใช้ทำนองการสวดเป็นทำนองกะ และทำนองเลื่อน
6. วัดอนงคาราม ใช้บทสวดพระธรรมใหม่ โดยใช้ทำนองการสวดเป็นทำนองกะ และทำนองเลื่อน
7. วัดสระเกศ ใช้บทสวดพระธรรมใหม่ โดยใช้ทำนองการสวดเป็นทำนองเลื่อน และทำนองสรภัญญะ
8. วัดสุทัศนเทพวราราม ใช้บทสวดพระธรรมใหม่ โดยใช้ทำนองการสวดเป็นทำนองสรภัญญะ และทำนองกะ
9. วัดบวรนิเวศวิหาร ใช้บทสวดพระอภิธัมมัตถสังคหะ โดยใช้ทำนองการสวดเป็นทำนองสรภัญญะ
10. วัดประยุรวงศาวาส ใช้บทสวดพระธรรมใหม่ โดยใช้ทำนองการสวดเป็นทำนองกะ
สรุป
การสวดพระอภิธรรมเป็นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สืบทอดกันมายาวนาน และบทสวดที่ใช้ในการสวดพระอภิธรรมนั้น นอกจากเป็นการสวดเพื่ออุทิศให้แก่ผู้วายชนม์ไปแล้ว หากยังเป็นคติสอนใจผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อีกด้วยว่า สรรพสิ่งนั้น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา
เสียงพระสวดพระอภิธรรมในยามค่ำคืนของงานศพ เป็นเสมือนการแสดงออกถึงความระลึกนึกถึงและความเคารพต่อผู้ที่จากไป ถือเป็นการส่งวิญญาณให้ไปสู่สุคติด้วยแรงแห่งบุญกุศลที่ผู้เป็นเจ้าภาพและผู้มาร่วมพิธีตั้งใจอุทิศให้ ขณะเดียวกันก็มีความสำคัญต่อผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นการช่วยเตือนให้ผู้ฟังได้ระลึกถึงความไม่เที่ยงของชีวิตตามคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีใครสามารถหลีกพ้นความตายได้ การได้ฟังเสียงพระสวดจึงเป็นโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้สงบใจ พิจารณาชีวิต และสร้างสติให้เกิดขึ้นในท่ามกลางความสูญเสีย การสวดพระอภิธรรมจึงไม่เพียงแต่เป็นขนบธรรมเนียมทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความเมตตา และการยอมรับในกฎแห่งธรรมชาติที่มีอยู่
ที่มา: เกร็ดความรู้ด้านศาสนาในพิธีบำเพ็ญกุศล อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เรื่อง การสวดพระอภิธรรม โดยกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม พฤศจิกายน 2568 เผยแพร่. บูรพา โชติช่วง








