"รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช" ชี้ผู้กำหนดนโยบายและภาคธุรกิจควรเปลี่ยนมุมมองจาก “ต้นทุน” มาเป็น “การลงทุน” เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม ในเวทีเสวนาการประชุม IBD 2025
จากเวทีการเสวนาเชิงวิชาการ เรื่อง การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อก้าวข้ามยุควิกฤตโลก ในการประชุมวิชาการนานาชาติ International Conference on Biodiversity 2025 (IBD 2025) เซึ่ง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ สำนักงานวิจัยแห่งชาติ เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงาน ภายใต้แนวคิดหลัก “ความหลากหลายทางชีวภาพกับมนุษยชาติในยุควิกฤตโลก” (Biodiversity and Humanity in Global Crisis ) โดยมีหน่วยงานเกี่ยวข้องด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ร่วมจัดงาน ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา มูลนิธิสวนหลวง ร.9 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา ในปี พ.ศ. 2568 และเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างประชาคมนักวิจัยของไทยและต่างประเทศ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
โดยมี ดร. วิจารณ์ สิมาฉายา ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา พร้อมด้วย ผู้ร่วมเสวนา 4 ท่าน มาร่วมให้มุมมองเกี่ยวกับการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ ได้แก่ นางสาวนิรันดร์ นิรันนุต จากโครงการไบโอฟิน UNDP ประเทศไทย ในกรอบประเด็นการเสริมสร้างการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการท่องเที่ยวยั่งยืนในประเทศไทยผ่านกลไกการเงินของรัฐบาลท้องถิ่น Dr. Jerome L. Montemayor , Executive Director of Asian Center for Biodiversity จากประเทศฟิลิปปินส์ ประเด็น การบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อก้าวข้ามยุควิกฤตโลกในสายตาของ Asian Center for Biodiversity รองศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประเด็นเรื่องเศรษฐศาสตร์ในแง่ของการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพในทรัพยากรส่วนรวม: บทเรียนจากเศรษฐศาสตร์เชิงทดลองเพื่อรับมือวิกฤตระดับโลก และ นายปสุต โตยิ่ง จากภาคประชาสังคมของเครือข่ายเยาวชนระดับโลกด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย หรือ GYBN Thailand ประเด็นเรื่องบทบาทของเยาวชนในการกำหนดอนาคตความหลากหลายทางชีวภาพ
รองศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ อรรถวานิช คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ร่วมเสวนาในประเด็น “การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพในทรัพยากรที่ใช้ร่วมกัน : ข้อคิดจากเศรษฐศาสตร์เชิงทดลองเพื่อรับมือวิกฤตระดับโลก” ซึ่งเนื้อหาการนำเสนอมาจากบทความวิจัยของอาจารย์ที่มุ่งสังเคราะห์แนวโน้มและองค์ความรู้ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้ร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยอาศัยการทบทวนเชิงระบบ (Systematic Review) จากงานวิจัยภาคสนามเชิงทดลองจำนวน 48 ชิ้น ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรป่ากับประมงในระดับชุมชน ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเต็มใจของชุมชนในการอนุรักษ์ทรัพยากร ได้แก่ การสื่อสารระหว่างผู้ใช้ทรัพยากร การติดตามตรวจสอบ การออกแบบกติกา ระบบแรงจูงใจ การมีส่วนร่วมของเพศหญิง ความไว้วางใจ ภาวะผู้นำ และรายได้
จากผลการศึกษา ได้มีการนำเสนอ ข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญ เช่น
1. ส่งเสริมให้มีเวทีหรือกลไกนโยบายที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทรัพยากรได้สื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
2. สนับสนุนระบบการติดตามตรวจสอบโดยชุมชน แทนที่จะพึ่งพาการติดตามตรวจสอบจากภายนอกชุมชนเพียงอย่างเดียว
3. เปิดให้กลุ่มผู้ใช้ทรัพยากรร่วมมือกับภาครัฐในการกำหนดและปรับปรุงกติกาการใช้ทรัพยากร
4. เน้นความเป็นธรรมและความเท่าเทียมในการออกกติกาเพื่อสร้างความร่วมมือในระยะยาว
5. ให้แรงจูงใจทางเศรษฐกิจควบคู่กับการลงทุนในทุนทางสังคมเพื่อให้ชุมชนยังคงรักษาพฤติกรรมอนุรักษ์ต่อไปแม้สิ้นสุดการจ่ายเงินสนับสนุน
6. เสริมศักยภาพให้กับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้หญิงและผู้นำท้องถิ่น โดยการจัดอบรมด้านการอำนวยความสะดวกและการจัดการความขัดแย้ง
7. จัดอบรมแบบมีส่วนร่วมในหัวข้อที่สอดคล้องกับความห่วงกังวลของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และใช้สถานการณ์จำลองความเสี่ยงเพื่อเพิ่มความรู้และความตระหนักของผู้ใช้ทรัพยากร
ในส่วนของ ทิศทางการวิจัยในอนาคต รศ.ดร.วิษณุ ได้ชี้ให้เห็นถึงหัวข้อวิจัยที่น่าสนใจในหลายประเด็น เช่น
1. ควรทำการทดลองซ้ำในพื้นที่ที่มีระบบนิเวศ วัฒนธรรม และสถาบันที่แตกต่างกัน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์
2. ควรศึกษาความแตกต่างของพฤติกรรมตามเพศ การศึกษา ภูมิลำเนา สถานะทางเศรษฐกิจ หรือความเอื้อเฟื้อทางสังคม
3. ออกแบบการวิจัยเชิงติดตามระยะยาวเพื่อวัดผลของมาตรการต่าง ๆ เช่น การติดตามตรวจสอบหรือแรงจูงใจ ว่าส่งผลต่อเนื่องหรือไม่
4. วิเคราะห์ว่าการรับรู้ความเสี่ยง ความไม่แน่นอน และผลกระทบทางสังคม ส่งผลต่อการตัดสินใจอย่างไร
5. ส่งเสริมการทดลองภาคสนามในประเทศที่มีพื้นที่ป่าและประมงมากเพื่อหาแนวทางอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญอย่างยั่งยืน
บทสรุปสุดท้าย รศ.ดร.วิษณุ ได้เน้นย้ำกับผู้เข้าร่วมเสวนาและผู้เข้าร่วมการประชุมว่า ผู้กำหนดนโยบายและภาคธุรกิจควรเปลี่ยนมุมมองจาก “ต้นทุน” มาเป็น “การลงทุน” ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะในทางเศรษฐศาสตร์ “การไม่ลงมือทำก็มีต้นทุน” หากไม่ลงทุนวันนี้ ต้นทุนในอนาคตจะยิ่งสูงกว่า การลงมือทำตอนนี้คือการสร้างความยั่งยืนให้ทั้งคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต








