“รัฐบาล 4 เดือน” ที่นำโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐนตรี สามารถรับมือกับแนวรบด้าน “การเมือง” ได้อย่างชงัด เมื่อส่งสัญญาณชัดเจนว่า ไม่กลัว “ญัตติซักฟอก” เพราะอย่าลืมว่า “อำนาจยุบสภา” อยู่ในมือผู้นำรัฐบาล
แต่ดูเหมือนว่า “โจทย์ใหญ่” ที่รอให้รัฐบาลตัดสินใจและเดินหน้า กำลังจะกลายเป็น เรื่องใหญ่ เนื่องจากเวลานี้ ทั้งปัญหา “น้ำท่วม” ซึ่งประชาชนได้รับผลกระทบในหลายจังหวัด ต่างเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งบริหารจัดการไม่ให้ซ้ำรอยน้ำท่วมใหญ่ เมื่อปี 2554
นอกจากนี้ปัญหาด้านความมั่นคง กำลังกลายเป็นเรื่องสั่นคลอนรัฐบาล อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ ทหารไทย เหยียบทุ่นระเบิด ที่ห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ ได้รับบาดเจ็บจนข้อเท้าขาด เป็นรายที่ 7 เมื่อวันที่ 10 พ.ย.68 กลายเป็น “ปัจจัย” ที่สร้างแรงกดดันอย่างมาก
ความสูญเสียที่ทหารไทยได้รับ ขาขาดเป็นรายที่ 7 ครั้งล่าสุด กำลังถูกตั้งคำถามและตอกย้ำว่าแนวทางที่รัฐบาลเดินหน้าอยู่นั้นถูกแล้วหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าการทำเรื่องประท้วงไปยังเวทีนานาชาติต่างๆ หรือการประกาศยุติ ข้อตกลงใดๆที่ทำไว้กับรัฐบาลกัมพูชา นั้นอาจไม่มีผลใดๆ
หลังจากเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดครั้งล่าสุด ปรากฏว่าชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนไทย -กัมพูชา ตลอดจน “ทหารชั้นผู้น้อย” ที่ปฏิบัติงานอยู่แนวหน้า ต่างรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ !!
ชาวบ้านที่ศรีสะเกษ และในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทางฝั่งปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พบว่า แม้ยังคงดำเนินชีวิตตามปกติแต่ยังมีความตึงเครียด หวาดระแวง เตรียมพร้อมที่จะอพยพตลอดเวลา เนื่องจากมองว่า การกระทำของกัมพูชา คือการไม่เคารพ ต่อการลงนามสันติภาพ ที่มาเลเซีย แต่อย่างใด
และล่าสุดการที่รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ปฏิเสธ “ข้อกล่าวหา” ของไทย โดยยืนยันว่าทหารเขมรไม่ได้เป็นฝ่ายลอบเข้ามาวางระเบิด และทุ่นระเบิดที่เกิดเหตุเป็นของเก่า ยิ่งทำให้คนไทยเอง รู้สึกไม่พอใจมากขึ้นทุกที
เสียงเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่ที่ดังมาโดยตลอด นอกจากจะสนับสนุนให้รัฐบาลเอาจริงเอาจัง แล้วยังต้องการให้ใช้มาตรการ “เด็ดขาด” ด้วยการ “ฉีกสัญญาสันติภาพ” ไปเลย รวมทั้ง “รบให้จบ” เพื่อกำราบเขมร พร้อมๆกับการยึดเอา “ปราสาทตาควาย” กลับคืนมาให้ได้
การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วันนี้ก่อนถกครม. นายกฯอนุทิน หารือร่วมกับฝ่ายความมั่นคง และกระทรวงการต่างประเทศ มีการพิจารณาด้วยกัน 3 เรื่อง คือ
1. กำลังพลของกองทัพไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
2 .คือ การที่มีทุ่นระเบิดในพื้นที่อธิปไตยของไทย ถือว่ามีผลกระทบต่ออธิปไตย
3. คือ รัฐบาลจะปกป้องอธิปไตย ชีวิตของคนไทย และทหารไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ
อย่างไรก็ดี สาระหลักในการประชุมสมช.ครั้งนี้ยังอยู่ที่รัฐบาลไฟเขียวให้ “กองทัพ” ใช้มาตรการตอบโต้ได้เต็มอำนาจ หลังจากที่มีมติ “ระงับ” การปฏิบัติตามปฏิญญา ระหว่างไทย-กัมพูชาแล้ว
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ความตึงเครียดเข้าปกคลุม ไปพร้อมๆกับการความโกรธแค้น กับสิ่งที่ทหารชั้นผู้น้อยและชาวบ้านในพื้นที่ได้รับความเสียหายและการสูญเสีย แต่โอกาสที่จะนำไปสู่การปะทะรอบใหม่ ตามมาหรือไม่ ยังอยู่ในวิสัยที่รัฐบาลได้สั่งให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง “เตรียมพร้อม”
กระทรวงมหาดไทย เตรียมความพร้อมประชาชนในพื้นที่ชายแดน 7 จังหวัด หากเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด
กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษาฯ จัดซักซ้อมแผนรองรับกรณีเหตุฉุกเฉิน
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ และแผนรองรับสถานการณ์ที่อาจรุนแรงในพื้นที่เสี่ยง
แนวรบชายแดนไทย-กัมพูชา ยังต้องจับตาว่าการปะทะจะเกิดขึ้นรอบใหม่หรือไม่ เมื่อรัฐบาลไทย สั่งระงับปฏิญญาที่ทำเอาไว้กับกัมพูชา เมื่อมีรายงานว่าทหารเขมรยิงปืนเล็ก ยั่วยุ กลางดึกของวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา บ้างก็ว่าเพื่อ “ท้าทาย” บ้างประเมินว่า ยิงเพื่อ เช็กแนวของทหารฝั่งไทย !








